ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์แบ่งออกเป็น
1. ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(Electromic Commerce.E-Cmommerce,EC)
2. ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจ
(Enterprise Resource Planning System,ERP)
3. ระบบการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์
(Customer Relationship Management system,CRM)
4. ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน
(Supply Chain Management System,SCM)
ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(Electromic
Commerce.E-Cmommerce,EC)
การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(อังกฤษ: Electronic
commerce) หรือ อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) หรือ
พาณิชยกรรมออนไลน์ หมายถึง การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ
ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถกระทำผ่าน
โทรศัพท์เคลื่อนที่ การโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน
การโฆษณาในอินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งซื้อขายออนไลน์
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร
โดยการลดบทบาทของความสำคัญขององค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง
อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย
พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้าเป็นต้น
ดังนั้นจึงลดข้อจำกัดของระยะทางและเวลา ในการทำธุรกรรมลงได้
ในพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. 2544 ให้ความหมาย ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ว่าเป็น
ธุรกรรมที่กระทำขึ้นโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
ตัวอย่างเช่น
นายสมชายเปิดร้านขายสินค้าโอท็อป ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทำให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ
สามารถเข้ามาดูตัวอย่างสินค้า และติดต่อซื้อขายกันได้
โดยผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจ
(Enterprise
Resource Planning System,ERP)
ERP ย่อมาจาก
Enterprise Resource Planning ถ้าแปลตรงตัวคือ
การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
การบริหารเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดของทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร
ระบบ ERP เป็นระบบสารสนเทศ
ที่องค์กรสามารถนำแนวคิดและวิธีการบริหารของ ERPมาทำให้เกิดเป็นระบบเชิงปฏิบัติในองค์กร
กล่าวคือ ระบบ ERP เป็นระบบสารสนเทศในองค์กรที่สามารถบูรณาการ
(Integrate) รวมงานลัก (Core Bussiness Process) ต่าง ๆในบริษัททั้งหมด ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี
และการบริหารบุคคลเข้าด้วยกันเป็ระบบที่สัมพันธ์กันและสามารถเชื่อมโยง ณ
เวลานั้นทันที (Real Time)
บทบาทของ ERP
สภาพธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เป็นผลทำสร้างมูลค่าให้กับลูกค้า ของแผนกต่างๆที่เกี่ยวข้อง ยาวและซับซ้อนขึ้น
และเมื่อความเชื่อมโยงของกิจกรรมให้เกิดการเชื่อมโยงของกิจกรรมต่างๆขยายใหญ่และซับซ้อนขึ้น
ถ้าไม่มีระบบข้อมูลในการจัดการที่ดี
โอกาสที่จะเกิดปัญหาในการรับรู้สภาพการเชื่อมโยงของกิจกรรมย่อมทำได้ยาก
และผลที่ตามมาคือ
ข้อมูลมากแต่ไม่รู้ว่าข้อมูลอันไหนที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจที่จะลงทุนและบริหารทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพได้
ดังนั้น ERP
ก็คือเครื่องมือที่นำมาใช้ในการบริหารธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ
ในเชิงบริหารที่เกิดขึ้นดังกล่าวอีกทั้งจะช่วยให้สามารถวางแผนการลงทุนและบริหารทรัพยากรขององค์กรโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณสมบัติที่ดีของ ERP package
1. มีคุณสมบัติ online
transaction system เพื่อให้สามารถใช้งานแบบ real time ได้
2.รวมข้อมูลและ information ต่างๆ เข้ามาที่จุดเดียวและใช้งานร่วมกันintegrated database
3.มีapplication software moduleที่มีความสามารถสูงสำหรับงานหลักๆของธุรกิจได้อย่างหลากหลาย
4.มีความสามารถในการใช้งานในหลายประเทศข้ามประเทศจึงสนับสนุนหลายภาษาหลายสกุลตรา
5.มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนขยายงานได้ง่าย
เมื่อระบบงานหรือโครงสร้างองค์กรมีการเปลี่ยนแปลง
6. มีขั้นตอนและวิธีการในการติดตั้งสร้างระบบ
ERP ในองค์กรที่พร้อมและชัดเจน
7. เตรียมสภาพแวดล้อม(ระบบสนับสนุน)
สำหรับการพัฒนาฟังก์ชันที่ยังขาดอยู่เพิ่มเติมได้
8. สามารถใช้กับเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ
9. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นมาตรฐานระดับโลก
มีความเป็นระบบเปิด (open system)
10. สามารถ interface
หรือเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบงานที่มีอยู่แล้วในบริษัทได้
11. มีระบบการอบรมบุคลากรในขั้นตอนการติดตั้งระบบ
12. มีระบบสนับสนุนการดูแลและบำรุงรักษาระบบ
ประโยชน์ในการนำ
ERP
มาใช้
1.เกิดการปฏิรูปการทำงาน
2.การเพิ่มประสิทธิภาพและความเหมาะสมให้กับกระบวนการทางธุรกิจ
3.การทำให้การบริหารงานได้รวดเร็ว
ไวต่อเหตุการณ์
4.การลดลงของค่าใช้จ่ายโดยรวมขององค์กร
5.เกิดการปฏิรูปการบริหารธุรกิจ
6.ความสามารถในการรับรู้สภาพการณ์โดยรวมของการบริหารได้แบบเรียลไทม์
7.ความสามารถในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้องค์กรโดยรวมมีประสิทธิภาพสูงสุด
8.ความสามารถในการตัดสินใจได้รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์
9.เกิดการปฏิรูปวัฒนธรรมและวิถีขององค์กร
10.การเป็นตัวเองและความกระตือรือร้นของพนักงาน
11.การใช้ความสามารถของพนักงานให้เกิดผลสำเร็จ
12.การใช้ความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานในการบริหารองค์กรให้เกิดผลสำเร็จ
ชนิดของ ERP package
1. ERP ชนิดที่ใช้กับทุกธุรกิจหรือเฉพาะบางธุรกิจ
ERP package โดยทั่วไปส่วนมากถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้กับงานแทบทุกประเภทธุรกิจ แต่งานหลักของธุรกิจซึ่งได้แก่ การผลิต การขาย
Logistics ฯลฯ มักจะมีความแตกต่างกันตามประเภทของธุรกิจ ดังนั้นจึงมี ERP package ประเภทที่เจาะจงเฉพาะบางธุรกิจอยู่ในตลาดด้วย เช่น ERP package สำหรับอุตสาหกรรมเคมี
อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมยา เป็นต้น
2. ERP สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่หรือสำหรับ
SMEs
แต่เดิมนั้น ERP package ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่อย่างแพร่หลาย ต่อมาตลาดเริ่มอิ่มตัว
ผู้ผลิตจึงได้เริ่มหันเป้ามาสู่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดย่อม ระบบและเนื้อหาของระบบงานหลักต่างๆจะไม่แตกต่างกันมาก
เพียงแต่ในธุรกิจขนาดใหญ่จะมีปริมาณของเนื้องานมากขึ้น ปัจจุบันมี
ERP package ที่ออกแบบโดยเน้นสำหรับการใช้งานในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยเฉพาะ
ออกมาจำหน่ายมากขึ้น เช่น
- Oracle Application/Oracle
- People Soft
- SAP
- CONTROL
- IFS Application
- MFG/PRO
- J.D. Edwards
ระบบการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์
(Customer
Relationship Management system,CRM)
การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
โดยการใช้เทคโนโลยีและการใช้บุคลากรอย่างมีหลักการจะช่วยให้เกิดการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น
การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมในการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้า
ทำให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือการบริการรวมไปถึงนโยบายในด้านการจัดการ
ซึ่งมีเป้าหมายสุดท้ายในการเปลี่ยนจากผู้บริโภคไปสู่การเป็นลูกค้าตลอดไป CRM เข้ากับเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้งานได้ง่าย
อีกทั้งยังลดความสลับซับซ้อนที่อาจจะยังไม่ทราบได้ว่าจะเริ่มแก้จากตรงจุดไหน
หน้าที่งานของระบบ CRM มักจะรวมถึง ระบบการบริหารการขาย
ระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ ระบบรองรับการบริการลูกค้า และระบบลูกค้าสัมพันธ์ (Call
Center)
เนื่องจากระบบ
CRM เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการดำเนินธุรกิจที่นำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้
ดังนั้นการดูแลระบบให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
เช่น ฝ่ายสารสนเทศ หรือผู้ออกแบบและผู้จัดทำเว็บไซต์ขององค์กร นอกจากนั้นการเชื่อมระบบ ERP กับ CRM เข้าด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
และอาจจะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง
แต่ก็จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการขายและบางทีอาจจะนำเสนอบริการในรูปแบบอื่นให้กับลูกค้าได้
CRM ย่อมาจาก
Customer Relationship Management หรือเรียกว่า การบริหารลูกค้าสัมพันธ์
ซึ่งก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
โดยการใช้เทคโนโลยีและการใช้บุคลากรอย่างมีหลักการ CRM ได้ถูกนำมาใช้มากยิ่งขึ้นเรื่อย
ๆ เนื่องมาจากจำนวนคู่แข่งของธุรกิจแต่ละประเภทเพิ่มขึ้นสูงมาก
การแข่งขันรุนแรงขึ้นในขณะที่จำนวนลูกค้ายังคงเท่าเดิม
ธุรกิจจึงต้องพยายามสรรหาวิธีที่จะสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้าอันจะนำไปสู่ความจงรักภักดีในที่สุด
ประเภทของCRM
CRM Business
Approach
คือ CRM แบบลูกค้าอยู่ศูนย์กลาง
ลูกค้าคือพระเจ้า เป็นแนวคิดแบบศูนย์กลาง มีวัฒนธรรมในการให้บริการลูกค้า
ที่ต้องสร้างขึ้น ไม่ได้มีมาก่อน แต่ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจการที่มีอยู่
ทราบว่าอะไรอยู่ส่วนไหนเพื่อสามารถให้บริการได้
และเต็มใจที่จะตอบคำถามไม่ว่าลูกค้าเป็นใคร หรือเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้าที่นั้นหรือไม่ในองค์กรหรือหน่วยงานของเราเอง
ควรทำงานด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เครื่องจักรกล การประยุกต์ใช้ CRM ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิผล ทำให้เกิด Leadership,
strategy และ culture ที่ดี
CRM Strategy Drivers คือ วงจรชีวิตของ
customers
คือหาคนเป็นลูกค้าเข้ามาด้วยวิธีการใด ๆ ทำให้เกิด Loyalty(ความประทับใจ) เช่น ร้านอาหารที่มีอาหารอร่อย บริการรวดเร็ว อาหารสะอาด
หรือห้างสรรพสินค้าต้องมอง Factor ต่าง ๆ ที่ประกอบ Retention
ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อบ่อย ๆ ไม่ไปไหน
ส่วนสุดท้ายคือการให้บริการลูกค้าหลังการขาย
Typical Pre-CRM
Scenario
คือ การเก็บข้อมูลลูกค้า การเก็บข้อมูลแบบ Silo (เก็บเป็นแท่งคอนกรีต) Data
silos คือการเก็บข้อมูลใส่ แต่คนอื่นเอาไปใช้ไม่ได้ เช่น
กรณีของบริษัทประกันอาจจะมีข้อมูลของลูกค้าที่แยกกันเก็บ
ไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ เพราะข้อมูลแยกกันอยู่
The Customer is
‘your’ business คือ การใส่ข้อมูลแบบสถิติในการขายให้ลูกค้าใหม่ 15%
ลูกค้าเก่า 50% เพียงแต่ทำให้ลูกค้าอยู่กับเราเพิ่มขึ้น 5% เน้นที่ศูนย์บริการลูกค้า 60%
เสียค่าใช้จ่ายถึงหกเท่าในการบริการลูกค้า
Contact Center คือ จุดที่สัมผัสกับลูกค้า
Direct Sales ขายตรงถึงบ้านลูกค้า POS ขายที่เค้าเตอร์
CRM Application นำมาวิเคราะห์การทำ
Data Mining แล้วส่งมา Back Office ในการ
Inventory Design แล้วติดต่อกับSupplier เพื่อติดต่อบอกว่ากำลังสร้างสินค้าใหม่
CRM Impact : Sales
• ทำให้การจัดการการสัมพันธ์ติดต่อกับลูกค้าดีขึ้น
• ทำให้มองเห็นช่องทางได้ดีขึ้น
• จัดการกับโอกาสทีเกิดขึ้น
เช่น มองดูฤดูกาลก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง
• การวัด
Performance ของการทำงานของเรา เช่น การขาย การผลิต
สามารถดูได้ที่ Performance
• สามารถพยากรณ์การขายได้ดีขึ้น
หากพยากรณ์ได้แม่นยำก็เกิดประโยชน์กับการทำงานด้านต่าง ๆ
• งานซึ่งสัมพันธ์กัน
เป็นกระแสงานจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง Workflow
CRM Impact : Marketing
• ทำให้ Direct Marketing ได้ดีขึ้น อาจจะส่งจดหมายไปก็ได้
• One-to-One
Marketing
CRM Impact : Service
• Help Desk ให้บริการปัญหาคอมพิวเตอร์ที่หน่วยงาน (ยกตัวอย่างงานทางด้านคอมพิวเตอร์)
และอาจจะส่งคนออกมาให้บริการ
• Call Center and
Contact Center มีลักษณะเหมือน Help Desk แต่ใช้บริการที่หลากหลาย
กับลูกค้าอย่างกว้างขวาง บาง Call Center อยู่ที่ต่างประเทศ
ไม่ได้อยู่ในประเทศตนเอง เพราะอาจจะทำให้ลดในส่วนของค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า
ในเชิงธุรกิจ เช่น Call Center อยู่ในอินเดีย
แต่หน่วยงานอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
• Agreement มีข้อตกลงอะไรกันบ้าง
• การลงทะเบียน
• การให้บริการภาคสนามเป็นอัตโนมัติ
การแก้ปัญหาทางไกล
CRM Application ชื่อของ CRM
• ดีเยี่ยมแต่แพงมาก
CRM Implementation
Methodology
วิเคราะห์ความต้องการของความต้องการทางธุรกิจ
CRM Business
Rationale
• จัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร
• ได้ประโยชน์จากลูกค้า
• ขายลูกค้าได้อย่างไร
The Key to CRM
Success
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและการปฏิบัติงานในองค์กร
ควรให้การบริการลูกค้าที่ดี พนักงานมีความเข้าใจเรื่องการให้บริการ
และต้องเอาระบบมาใช้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ เช่น
ควรนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ สนใจรายละเอียดของลูกค้า การขายสินค้าแต่ละประเภท
มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี CRM ต้องมีการทำให้เป็น Automatic
คือ ใช้ระบบคอมพิวเตอร์มากขึ้น และควรใช้ CRM ทั้งบริษัทครอบคลุมในองค์กร
ระบบที่ดีจึงจำเป็นต้องวางแผน แล้วลงไป Implement ครั้งเดียว
แต่ส่วนใหญ่ยังคงทดลองทำก่อน ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เข้าใจให้ชัดเจนว่าเมื่อมีระบบให้ลูกค้าแล้ว
ลูกค้าบางคนก็ไม่ค่อยมีเหตุผล
เราจำเป็นต้องเข้าใจถึงลูกค้าที่มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ผิดแปลก
อย่าไปถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเอามาพิจารณามากนัก เอามาวิเคราะห์ให้เป็น NORM
ไม่ได้วิเคราะห์ว่าทำไมขายสินค้าได้มากกว่าปกติ
จะเอามาวิเคราะห์ก็ไม่ได้เพราะเอาข้อมูลมาพยากรณ์การขายได้ไม่ปกติ การซื้อ Product
มาใช้เป็นรายแรก ก็เสี่ยงเกินไปได้ รวมถึงการใช้ SW หรือลงทุนแพงเกินไป หรือเกิดการล้มเหลวได้
Conclusion
CRM สามารถทำให้เกิดความพอใจของลูกค้าได้ดี
การขายก็ดีขึ้น หากลูกค้าได้รับความสะดวกสบายก็ติดใจ จงรักภักดีสูงในเวลาต่อเนื่อง
ต้องดูแลข้อมูล ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า
และพนักงานที่ให้บริการอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนประกอบของCRM (Customer
Relationship Management)
1. ระบบการขายอัตโนมัติ
ประกอบด้วย
- ระบบขายโดยผ่านโทรศัพท์ตอบรับ
เพื่อให้บริการแบบ Proactive ในลักษณะ Telesale
- ระบบพาณิชย์อิเลกทรอนิกส์ (E-Commerce)
เพื่อทำการขายแบบUp-Saleing หรือ Cross-Saleing
- ระบบงานสนามด้านการขาย
ได้แก่ Wireless Application สำหรับการขายปลีกและตัวแทนจำหน่ายสามารถเรียกดูข้อมูลลูกค้าได้ทันทีขณะติดต่อ
จะเพิ่มโอกาสในการขายให้สูงขึ้น
2. ระบบบริการลูกค้า
(Call Center) ประกอบด้วย
ระบบการให้บริการในด้านโทรศัพท์ตอบรับ (Interactive Voice Response: IVR) ด้านเว็บไซต์ ด้านสนามและข่าวสารต่าง ๆ
3. ระบบการตลาดอัตโนมัติ
ประกอบด้วย ระบบย่อยด้านการจัดการด้านรณรงค์ต่าง ๆ ด้านการแข่งขัน
ด้านเครื่องมือที่จะช่วยการวิเคราะห์ข้อมูล และวิเคราะห์ธุรกิจ
4. Data Warehouse และเครื่องมือจัดการข้อมูล เป็นระบบสำคัญในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดของ CRM
ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลจากภายในและภายนอกองค์กร ข้อมูลภายในมีที่มาจาก
2 แหล่ง คือ 1) มาจากระบบงานคอมพิวเตอร์เป็นงาน
Routine ที่มาจากระบบ Billing ลูกหนี้
ทะเบียนลูกค้า Call Center และข้อมูลเก่าดั้งเดิมที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบฐานข้อมูล
2) ข้อมูลภายนอกได้แก่ Web Telephone Directory เป็นต้น
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ CRM
CRM ให้ความสำคัญต่อลูกค้า
โดยจะรวมถึงการปรับปรุงกิจการ ความสม่ำเสมอ ความต่อเนื่อง
ความสะดวกในทุกช่องทางการติดต่อ
ต้องมีการพิจารณาการทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีผลกับงานติดต่อลูกค้าทั้งในส่วน Front-Office
และ Back-Office ในขณะที่จำนวนลูกค้ามีมากขึ้น
ข้อมูลลูกจ้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และขั้นตอนการทำงานสลับซับซ้อนขึ้น
ธุรกิจจำเป็นต้องจัดหาเทคโนโลยีด้าน IT ที่เหมาะสมมาสนับสนุน
ดังนี้
1. Hardware ประกอบด้วย
- แบบ Client/Sever
หรือ Host-Based
- Network and Remote
Access
- The Size of the
Application
2. Software ประกอบด้วย
- Client/sever หรือ Host-Based Software
- Information
Management การใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลของโปรแกรม
- Integration ความสามารถในการเชื่อมโยงกับโปรแกรมหรือระบบอื่นขององค์กร
และความยากง่ายในการทำงาน
- Configurability การปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของระบบสามารถทำได้หรือไม่ระดับใด
และใครเป็นผู้ทำ
ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจอยู่ในรูแบบ
E-Business
CRM จึงมีการพัฒนาเป็น eCRM ซึ่ง
ต้องรวมถึง Internet และ Intranet ในการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานไว้ด้วยกัน
Software CRM จะสนับสนุนการทำงาน 2
ส่วน ได้แก่ ส่วนปฏิบัติงาน (Operatinal) และการวิเคราะห์ (Analytical)
ทั้ง 2 ส่วนจะทำงานประสานกัน
โดยอาศัยข้อมูลจากมาร์ทข้อมูล (Data Mart) คลังข้อมูล (Data
Warehouse) และเหมืองข้อมูล (Data Mining)
ประโยชน์ของCRM
1. มีรายละเอียดข้อมูลของลูกค้าในด้านต่างๆ
ได้แก่ Customer Profile Customer
Behavior
2. วางแผนทางด้านการตลาดและการขายอย่างเหมาะสม
3. ใช้กลยุทธ์ในการตลาด
และการขายได้อย่างรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพตรงความต้องการของลูกค้า
4. เพิ่มและรักษาส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ
5. ลดการทำงานที่ซับซ้อน
ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน
ก่อให้เกิดภาพพจน์ที่ดีต่อองค์การ
จุดเด่นของ CRM
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงจุดที่องค์กรต้องเติบโต
การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างทีมงานและแผนกต่างๆน่าจะเป็นนโยบายที่เหมาะสมมากกว่า
แถมยังช่วยให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
เมื่อจำนวนของลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์เชิงธุรกิจออกวางจำหน่ายอยู่มากมาย
ซอฟต์แวร์เหล่านี้ใช้สำหรับรวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญของลูกค้า
(อาทิเช่นประวัติการขาย ความพึงพอใจของลูกค้า รายละเอียดของลูกค้า และอื่นๆอีกมาก)
แถมยังเอาไว้ให้บริการข้อมูลที่มีประโยชน์มากขึ้นและบริหารได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้มีชื่อเรียกว่าระบบบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้า (customer
relationship management-CRM) ซึ่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บริษัทขนาดกลางและองค์กรขนาดใหญ่ต่างหันมาสนใจซอฟต์แวร์ชนิดนี้กันเพิ่มมากขึ้น
แต่ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากเริ่มหันมาตระหนักถึงความสำคัญของ CRM กันเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดตัวซอฟต์แวร์ CRM ซึ่งออกแบบมาสำหรับการดำเนินงานของบริษัทขนาดเล็กโดยเฉพาะ
ตัวอย่างเช่น Microsoft Business Solutions CRM ถูกออกแบบขึ้นมาให้สนองตอบต่อการบริหารลูกค้าของบริษัทซึ่งมีพนักงานระหว่าง
25 ถึง 500 คน
โปรแกรมนี้มีบริการลูกค้าและคุณสมบัติการขายอัตโนมัติเป็นจำนวนมาก
ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้นเท่านั้น แต่โปรแกรมยังสามารถแสดงข้อมูลที่มีค่าที่ช่วยให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าที่สร้างกำไรได้มากที่สุดด้วย
ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน
(Supply
Chain Management System,SCM)
กระบวนการ Supply Chain
Management หรือ SCM เป็นกระบวนการของการบริหารทุกขั้นตอน
นับตั้งแต่การนำเข้าวัตถุดิบimagesสู่กระบวนการผลิต
กระบวนการสั่งซื้อ
จนกระทั่งส่งสินค้าถึงมือลูกค้าให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมกับสร้างระบบ
ให้เกิดการไหลเวียนของข้อมูลที่ทำให้เกิดกระบวนการทำงานของแต่ละหน่วยงานส่งผ่านไปทั่วทั้งองค์การ
การไหลเวียนของข้อมูลยังรวมไปถึงลูกค้า และผู้จัดส่งวัตถุดิบด้วย
กระบวนการ Supply Chain
Management มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้องค์การยกระดับความสามารถในการบริหาร
เช่น การลดสินค้าคงคลัง การเพิ่มผลิตภาพหรือการลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน
ส่งเสริมความเติบโตของธุรกิจ เช่น การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่ให้เร็วขึ้น
การเปิดตลาดใหม่ ๆ การสร้างความพอใจแก่ลูกค้ามากขึ้น ส่งเสริมความยั่งยืนของธุรกิจ
เช่น การลดต้นทุนธุรกิจ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น
Supply Chain
Management (SCM) คือ
กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูล และธุรกรรมต่าง ๆ
ผ่านองค์การที่เป็นผู้ส่งมอบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย
ไปจนถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคโดยที่องค์การต่าง ๆ
เหล่านี้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อกัน
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการนำเอาการบริหารจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานมาใช้
• การแข่งขันที่รุนแรง
(Intense Competition)
• การกลายเป็นโลกาภิวัตน์
(Globalisation)
• ความไม่แน่นอน
(Uncertainty)
• การขาดความไว้ใจซึ่งกันและกัน
(Trust)
• การขาดการประสานและความร่วมมือกัน
(Coordination & Cooperation)
• ไม่มีการแชร์หรือแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน
(Share common information)
องค์การจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง
ๆ ดังนี้
• การทำกำไรในปัจจุบันทำได้ยากขึ้น
ในอนาคตองค์การอาจต้องมีการจัดการผลกำไรอย่างเจาะจงตามประเภทลูกค้า และสินค้า
และมองหาโอกาสในการสร้างกำไรในอนาคตระยะยาว
• ผู้นำองค์การในอนาคตจะเกี่ยวข้องกับการสร้างพันธมิตร
ในอนาคตการพัฒนาองค์การจะเป็นไปในลักษณะของการสร้างเครือข่าย (Networking
Organization)
• การทำงานของบุคลากรจะเน้นการทำงานได้หลากหลาย
ทำงานข้ามวัฒนธรรม และได้รับค่าตอบแทนตามผลงาน และให้ความสำคัญกับการเป็นเจ้าของร่วม
• ช่องทางธุรกิจใหม่
ๆ กำลังเปลี่ยนแปลงและเปิดโอกาสทางธุรกิจ
ช่องทางดั้งเดิมกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาสภาพทางการตลาด
มีการกำหนดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
และช่องทางใหม่มีการรวบรวมคนกลางและกำหนดการลงทุนธุรกิจใหม่
• การมีช่องทางมากขึ้น กระแสโลกาภิวัตน์
การมีลูกค้าที่หลากหลาย จำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น
เหล่านี้ทำให้การบริหารองค์การทำได้ยากขึ้น ทำให้องค์การเข้าสู่การเป็นองค์การขยาย
และเน้นการตอบสนองลูกค้าเป็นราย ๆ
• คุณภาพถือเป็นสิ่งบังคับที่ต้องมีอยู่แล้วลูกค้าไม่ต้องการสินค้าหลากหลายแต่ต้องการสินค้าที่เหมาะกับตน
องค์การจะต้องเน้นการทำตลาดเจาะจงโดยใช้แหล่งวัตถุดิบร่วมกัน
รวมทั้งเน้นการผลิตสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะตัวมากขึ้น
ประโยชน์ของการบริหารห่วงโซ่อุปทาน
1.
เสริมสร้างความสามารถในการบริหารและการแข่งขันของสมาชิกในห่วงโซ่อุปทาน
2.
ส่งเสริมการเติบโตและความยั่งยืนของธุรกิจ
3.
สมาชิกในห่วงโซ่อุปทานปรับระบบการทำงานให้สอดคล้องกัน
4.
แบ่งปันข้อมูลที่จำเป็นเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน
5.
ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน
แนวคิดการบริหารห่วงโซ่อุปทาน
1.
เปลี่ยนจากการทำงานตามบทบาทและหน้าที่ของแต่ละผ่ายเป็นการทำงานร่วมกันเป็นกระบวนการ
2.
เปลี่ยนเป้าหมายที่กำไรเป็นการทำงานที่มีเป้าหมายหลายด้าน
3.
เปลี่ยนจากการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เป็นการมุ่งเน้นลูกค้า
4.
รักษาปริมาณสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม และสามารถสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้สูงที่สุดโดยใช้ระบบสารสนเทศเชื่อมโยงและแจ้งข้อมูลได้ทันที
5.
สร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ ประกอบการติดต่อด้วยสัญญาทางการค้า
ใบสั่งสินค้า หรือการเจรจาทางการค้า
ตัวอย่าง :
โปรแกรมระบบการประยุกต์scm-system
โปรแกรมระบบการประยุกต์
งานขององค์กร คน เทคโนโลยี กิจกรรม ข้อมูลข่าวสาร และทรัพยากรต่างๆ
จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค อย่างครบวงจร
เป็นระบบการจัดการกลุ่มของกิจกรรมงาน
กล่าวคือ ตั้งแต่การรับวัตถุดิบมาจาก Supplier แล้วเปลี่ยนวัตถุดิบนั้นให้เป็นสินค้าขั้นกลาง
และสินค้าขั้นสุดท้าย จนกระทั่งจัดส่งสินค้าให้ แก่ลูกค้าผู้ส่งมอบ (supplies),โรงงาน และ ลูกค้า
SCM SOLUTION:
รายละเอียดระบบวางแผนจัดการด้าน
Logistics
(SCM)
โดยระบบจะรวมถึง
การรวบรวม การวางแผน และการจัดการของกิจกรรมทั้งหมด ที่มีความเกี่ยวข้อง
กับการจัดหา การจัดซื้อ การแปรสภาพ
การประสานงาน (Coordination)
และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) กับผู้จัดส่งวัตุดิบตัวกลาง
ผู้ให้บริการลอจิสติกส์และลูกค้า
ซึ่งรวมถึงทั้ง ภายในและภายนอกบริษัท Interface Similan SCM (Supply Chain
Management)