บทที่ 1 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ MIS
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
MIS : Management Information System
(เมเนทเม้นต์ อินฟอเมชัน ซิสเต็มส์)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
หมายถึง ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายใน ภายนอก ในอดีตและปัจจุบัน
รวมทั้งสิ่งที่คาดว่าจะเป็นในอนาคตขององค์การอย่างมีหลักเกณฑ์
เพื่อนำมาประมวลผลและเพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม
และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่างถูกต้องและ เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย MIS (เอ็มเอสไอ) จะประกอบด้วยหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ
1.สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งจากภายใน
และภายนอกองค์การมาไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ
2.สามารถทำการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงาน
และการบริหารงานของผู้บริหาร
คุณสมบัติของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1. ความสามารถในการจัดการข้อมูล Data
Manipulation(ดาต้า มาลิพลูเลชัน)
ระบบสารสนเทศที่ดีต้องสามารถปรับปรุงแก้ไขและจัดการข้อมูล
เพื่อให้เป็นสารสนเทศที่พร้อมสำหรับนำไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ปกติข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินธุรกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าสู่ MIS ควรที่จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนารูปแบบ
เพื่อให้ความทันสมัยและเหมาะสมกับการ ใช้งานอยู่เสมอ
2. ความปลอดภัยของข้อมูล Data Security (ดาต้า ชิคิวลิตี้)
ระบบสารสนเทศเป็นทรัพยากรที่สำคัญอีกอย่างขององค์การ
ถ้าสารสนเทศรั่วไหลออกไปสู่ บุคคลภายนอก โดยเฉพาะคู่แข่งขัน
อาจทำให้เกิดความเสียโอกาสทางการ แข่งขัน
3. ความยืดหยุ่น Flexibility(แฟกอิบิลิตี้)
สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจหรือสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้ระบบสารสนเทศที่ดีต้องมีความสามารถในการปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานหรือปัญหาที่เกิดขึ้น
4. ความพอใจของผู้ใช้ User
Satisfaction(ยูเซอ ชาดิเฟกชัน)
การพัฒนาระบบต้องทำการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการ
และพยายามทำให้ผู้ใช้พอใจกับระบบ
เมื่อผู้ใช้เกิดความไม่พอใจกับระบบทำให้ความสำคัญของระบบลดน้อย ลงไป อาจจะทำให้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนได้
เหตุที่ผู้บริหารควรศึกษาเรื่องของระบบสารสนเทศ
สามารถสนับสนุนข้อมูลให้
ผู้บริหารทั้งสามระดับ คือทั้งผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหารระดับสูง
โดยระบบเอ็มไอเอสจะให้รายงาน
ที่สรุปสารสนเทศซึ่งรวบรวมจากฐานข้อมูลทั้งหมดของบริษัท จุดประสงค์
ของรายงานจะเน้นให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นแนวโน้ม และภาพรวม ขององค์กรในปัจจุบัน
รวมทั้งามารถควบคุมและตรวจสอบงานของระดับปฏิบัติการด้วย อย่างไรก็ดี ขอบเขตของรายงาน
จะขึ้นอยู่กับ ลักษณะของสารสนเทศ และจุดประสงค์การใช้งาน
โดยอาจมีรายงานที่ออกทุกคาบระยะเวลา (เช่น งบกำไรขาดทุนหรืองบดุล)
รายงานตามความต้องการ หรือรายงานตามสภาวะการณ์หรือเหตุผิดปกติประโยชน์ที่ผู้บริหารจะได้รับจากระบบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ประโยชน์ที่ผู้บริหารได้รับ
1. เพื่อใช้ในการตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงาน
2. เพื่อใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์
3. เพื่อใช้ในการศึกษา
และวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาผู้บริหารสามารถใช้ระบบสารสนเทศประกอบการศึกษา
และการค้นหาสาเหตุ หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน
4. เพื่อใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น
เพื่อหาวิธีควบคุม ปรับปรุง และแก้ไขปัญหา
5. เพื่อลดค่าใช้จ่าย
ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงาน
และค่าใช้จ่ายในการทำงานลง
ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศแบ่งเป็น
3 ส่วน
1. ฮาร์ดแวร์
mouse_white.gifฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง
เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์รอบข้าง
รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น
เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดตรวจเมื่อพิจารณาเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 3 หน่วย คือ
-หน่วยรับข้อมูล
(input unit) ได้แก่ แผงแป้นอักขระ เมาส์
-หน่วยประมวลผลกลาง
(Central Processing Unit : CPU)
-หน่วยแสดงผล
(output unit) ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์
2. ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สอง
ซึ่งก็คือลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน
เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการใช้งาน
ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติงาน ซอฟต์แวร์ควบคุมระบบงาน ซอฟต์แวร์สำเร็จ
และซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับงานต่างๆ ลักษณะการใช้งานของซอฟต์แวร์ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้จะต้องติดต่อใช้งานโดยใช้ข้อความเป็นหลัก
แต่ในปัจจุบันซอฟต์แวร์มีลักษณะการใช้งานที่ง่ายขึ้น
โดยมีรูปแบบการติดต่อที่สื่อความหมายให้เข้าใจง่าย เช่น
มีส่วนประสานกราฟิกกับผู้ใช้ที่เรียกว่า กุย (Graphical User
Interface : GUI) ส่วนซอฟต์แวร์สำเร็จที่มีใช้ในท้องตลาดทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับบุคคลเป็นไปอย่างกว้างขวาง
และเริ่มมีลักษณะส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากขึ้น
ส่วนงานในระดับองค์กรส่วนใหญ่มักจะมีการพัฒนาระบบตามความต้องการโดยการว่าจ้าง
หรือโดยนักคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ คือ
ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น
-ซอฟต์แวร์ระบบ คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการกับระบบคอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ เช่น
ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส ระบบปฏิบัติการดอส ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
-ซอฟต์แวร์ประยุกต์ คือ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่างๆ
ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น
ซอฟต์แวร์กราฟิก
ซอฟต์แวร์ประมวลคำ
ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน
ซอฟต์แวร์นำเสนอข้อมูล
3. ข้อมูล
ข้อมูล
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ
อาจจะเป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบได้
เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลจากแหล่งกำเนิด ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง
มีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ ข้อมูลจำเป็นจะต้องมีมาตรฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร
ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ
4. บุคลากร
บุคลากรในระดับผู้ใช้
ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม
เป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ บุคลากรมีความรู้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์มากเท่าใดโอกาสที่จะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดับบุคคลซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถมากขึ้น
ทำให้ผู้ใช้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงานได้เองตามความต้องการ
สำหรับระบบสารสนเทศในระดับกลุ่มและองค์กรที่มีความซับซ้อนจะต้องใช้บุคลากรในสาขาคอมพิวเตอร์โดยตรงมาพัฒนาและดูแลระบบงาน
5. ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนของผู้ใช้หรือของบุคลากรที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง
เมื่อได้พัฒนาระบบงานแล้วจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอนในขณะที่ใช้งานก็จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของคนและความสัมพันธ์กับเครื่อง
ทั้งในกรณีปกติและกรณีฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการประมวลผล
ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเครื่องชำรุดหรือข้อมูลสูญหาย
และขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูลสำรองเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการซักซ้อม มีการเตรียมการ
และการทำเอกสารคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน
มุมมองของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
dimensions of information systems ประกอบด้วย
Organization
Dimension
1. โครงสร้างองค์การและสายการบังคับบัญชา
2. การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
3. กระบวนการธุรกิจ(business
process)
4. วัฒนธรรมองค์การ
5. การเมืองในองค์การ
Management
Dimension
1. กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ
2. สร้างสินค้าหรือบริการใหม่ๆ
ออกแบบองค์การใหม่
Technology
Dimension
1. Computer hardware and software
2. Data management technology
3. Networking and telecommunications
technology
-Networks, the Internet, intranets
and extranets, World Wide Web
4. IT infrastructure: provides platform
that system is built on
ที่กล่าวว่า”การศึกษาเกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีเนื้อหาที่กว้างกว่าการศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์โดยตรง
โดยมีเนื้อหาครอบคลุมถึงแนวทางทางเทคนิค(Technical Approach)และแนวทางทางพฤติกรรมศาสตร์(Behavioral
Approach)”เห็นด้วย เพราะการศึกษาเกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการไม่ได้เน้นแค่เรื่องเทคนิค หรือพฤติกรรมอย่างเดียว ต้องผสมผสานกันให้สมดุล ติดตั้งหรือใช้เทคโนโลยีแล้ว คนมีความสุข
ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบสารสนเทศสามารถจำแนกได้ตามลักษณะการดำเนินงานได้ดังนี้
1. ระบบสารสนเทศแบบประมวลรายการ(TPS:Transaction Processing Systems ) เป็นระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการบันทึกและประมวลข้อมูลที่เกิดจาก
ธุรกรรมหรือการปฏิบัติงานประจำหรืองานขั้นพื้นฐานขององค์การ เช่น การซื้อขายสินค้า
การบันทึกจำนวนวัสดุคงคลัง
เมื่อใดก็ตามที่มีการทำธุรกรรมหรือปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะเกิดขึ้นทันที
เช่น ทุกครั้งที่มีการขายสินค้า ข้อมูลที่เกิดขึ้นก็คือ ชื่อลูกค้า
ประเภทของลูกค้า จำนวนและราคาของสินค้าที่ขายไป รวมทั้งวิธีการชำระเงินของลูกค้า
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(MIS:Management Information System) คือระบบที่ให้สารสนเทศ
ที่ผู้บริหารต้องการ เพื่อให้สามารทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยจะรวมทั้งสารสนเทศภายในและภายนอกสารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรทั้งในอดีตและปัจจุบัน
นอกจากนี้ระบบนี้จะต้องให้สารสนเทศในช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์
เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม
และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่าง ถูกต้อง แม้ว่าผู้บริหารที่จะได้รับประโยชน์จากระบบนี้สูงสุดคือผู้บริหารระดับกลาง
แต่โดยพื้นฐานของระบบนี้แล้วจะเป็นระบบที่สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ผู้บริหารทั้งสาม
ระดับ คือทั้งผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลางและผู้บริหารระดับสูง
โดยระบบนี้จะให้รายงานที่สรุปสารสนเทศซึ่งรวบรวมจากฐานข้อมูลทั้งหมดของบริษัท
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ(DSS:Decision Support System)เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากระบบ
MIS อีกระดับหนึ่ง เนื่องจาก
ถึงแม้ว่าผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจจะสามารถใช้ประสบการณ์หรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบเอ็มไอเอส
ของบริษัท สำหรับทำการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานปกติ
แต่บ่อยครั้งที่ผู้ตัดสินใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารในระดับสูงและระดับกลางจะเผชิญกับการตัดสินใจที่ประกอบด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะประมวล
เข้าด้วยกันได้อย่างถูกต้อง จึก ทำให้เกิดระบบนี้ขึ้น
ซึ่งเป็นระบบที่สนับสนุนความต้องการเฉพาะของผู้บริหารแต่ละคน (made by
order) ในหลายๆสถานะการณ์ ระบบ
นี้มีหน้าที่ช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปได้อย่างสะดวก
4. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม
(GDSS:Group Decision Support System)เป็นระบบย่อยหนึ่งในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
โดยที่ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะช่วยผู้บริหารในเรื่องการตัดสินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่มีโครงสร้างแน่นอน
หรือกึ่งโครงสร้าง
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอาจจะใช้กับบุคคลเดียวหรือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเป็นกลุ่ม
นอกจากนั้น ยังมีระบบสนับสนุนผู้บริหารเพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
5. ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
(GIS:Geographic Information System )ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์
ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น
ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง
ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล
และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย
จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้
เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย
การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้
เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย
6. ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง(EIS:Excutive Information System)เป็นระบบที่สร้างขึ้น
เพื่อสนับสนุน สารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ หรือ สามารถกล่าวได้ว่าระบบนี้คือส่วนหนึ่งของ
DSS ที่แยกออกมา
เพื่อเน้นการให้สารสนเทศที่สำคัญต่อการบริการแก่ผู้บริหาร
7. ปัญญาประดิษฐ์
(AI:Artificial Intelligence)ระบบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้ชำนาญการณ์
ในสาขาใดสาขาหนึ่ง คล้ายกับมนุษย์ ระบบผู้เชี่ยวชาญมีส่วนคล้ายคลึงกับระบบอื่นๆ
คือเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือทำการ ตัดสินใจได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ดีระบบผู้เชี่ยวชาญจะแตกต่างกับระบบอื่นอยู่มาก
เนื่องจากระบบผู้เชี่ยวชาญจะเกี่ยวข้องกับการจัดการ ความรู้ (Knowledge) มากกว่าสารสนเทศ และถูกออกแบบให้ช่วยในการตัดสินใจโดยใช้วิธีเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่
มนุษย์ โดยใช้หลักการทำงานด้วยระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence)
8. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ(OAS: Office Automation System)เป็นระบบที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุด
โดยอาศัยเครื่องมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่องโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้าด้วยกัน
QAS มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษ (Paperless
System) ส่งข่าว สารถึงกันด้วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic
Data Interchange) แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะคือ
8.1 รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing & Processing System) ได้แก่การสื่อสารด้วยข้อความ รูปภาพ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-Mail) โทรสาร (FAX)หรือ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ (Voice Mail) เป็นต้น
8.1 รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing & Processing System) ได้แก่การสื่อสารด้วยข้อความ รูปภาพ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-Mail) โทรสาร (FAX)หรือ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ (Voice Mail) เป็นต้น
8.2 รูปแบบการประชุมทางไกลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic
Meeting System) เป็นเทคนิคที่ทำให้กลุ่มคนทั่วโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้
คล้ายการพูดคุยกันโดยตรง เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio
Conferencing),การประชุมทางไกลแบบมีทั้งภาพและเสียง (Video
Conferencing) หรือ ทั้งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรสาร และ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์รวมกัน เป็นต้น
กระบวนการทางธุรกิจ
กระบวนการทางธุรกิจ
(Business process) เริ่มจากการที่เจ้าของนำเงินสดหรือสินทรัพย์อื่นมาลงทุนในธุรกิจ
ถ้าเงินสดมีไม่เพียงพอ อาจต้องกู้เพิ่มจากเจ้าหนี้
จากนั้นจึงเริ่มเอาเงินไปซื้อที่ดิน อาคาร อุปกรณืต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจหรืออาจใช้วิธีการเช่าแทนการซื้อก็ได้
เมื่อกิจการเริ่มดำเนินการ ลักษณะของการดำเนินการเงินจะขึ้นอยู่กับธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การค้าขาย หรือการใช้บริการ
โดยจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นขณะดำเนินการธุรกิจ
เมื่อรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายจะเกิดเป็นผลกำไร แต่ถ้าค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้จะเกิดเป้นผลขาดทุน
กระบวนการทางธุรกิจของการเปิดแฟรนไชส์
ท็อป มาร์เก็ต (Tops market) คือเริ่มตั้งแต่สถานที่
เมื่อมีบุคคลที่ต้องการที่จะเปิดแฟรนไชส์
จะต้องมีที่ตั้งและสถานที่เพื่อทำการเปิดร้าน
แล้วทางบริษัทจะทำการไปดูที่ตั้งและทำเลให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
และเมื่อได้ที่ตั้งก็ทำการเข้าร่วมลงทุนกับ ท็อป มาร์เก็ต
แล้วทางบริษัทจะทำการตกแต่งร้านและนำสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ
มาทำการดำเนินธุรกิจในขั้นตอนต่อไป ผลกำไรที่ได้จะมาจากการขายสินค้า
สรุปคือกระบวนการทางธุรกิจนั้นจะเป็นขบวนการต่างๆ
หรือขั้นตอนในทุกๆ ขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจ ผลกำไรที่จะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับธุรกิจนั้นๆ
โดยทั่วๆ ไปการดำเนินธุรกิจจะมีอยู่ 3 ประเภทคือ
1. กิจการให้บริการ (Service Firm) กิจการให้บริการจะมีรายได้หลัก คือ
ค่าธรรมเนียม ค่าบริการรับ รายจ่ายหลัก คือ เงินเดือนพนักงาน ค่าวัสดุสิ้นเปลือง
ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค และอื่นๆ
รายจ่ายในกิจการให้บริการถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ปัญหาที่เกิดขึ้นในกิจการให้บริการคือการวัดผลการดำเนินงาน ลักษณะของผลิตภัณฑ์จะไม่เห็นเป็นตัวตนที่ชัดเจน
ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้ เช่น โรงพยาบาล สำนักงานกฎหมาย บริษัทที่ปรึกษา
เป็นต้น
2. กิจการซื้อมาขายไป (Merchandising Firm) หมายถึง กิจการที่ซื้อขายสินค้าทั้งขายส่งและขายปลีกโดยไม่ใช่ผู้ผลิต รายได้หลักของกิจการ คือ เงินที่ขายสินค้าได้ ค่าใช้จ่ายจำแนกเป็น 2 ส่วน คือ ต้นทุนสินค้าขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา ร้านขายของชำ เป็นต้น
3. กิจการผลิต (Manufacturing Firm) กิจการผลิตส่วนใหญ่จะมีโรงงานสำหรับผลิตสินค้า รายได้หลัก คือ เงินที่ได้จากการขายสินค้า ค้าใช้จ่าย คือ ต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบ ค่าจ้างคนงาน และค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายทั้งสามส่วนนี้จะรวมเป็นต้นทุนสินค้า ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในสำนักงานจะถือเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
2. กิจการซื้อมาขายไป (Merchandising Firm) หมายถึง กิจการที่ซื้อขายสินค้าทั้งขายส่งและขายปลีกโดยไม่ใช่ผู้ผลิต รายได้หลักของกิจการ คือ เงินที่ขายสินค้าได้ ค่าใช้จ่ายจำแนกเป็น 2 ส่วน คือ ต้นทุนสินค้าขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา ร้านขายของชำ เป็นต้น
3. กิจการผลิต (Manufacturing Firm) กิจการผลิตส่วนใหญ่จะมีโรงงานสำหรับผลิตสินค้า รายได้หลัก คือ เงินที่ได้จากการขายสินค้า ค้าใช้จ่าย คือ ต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบ ค่าจ้างคนงาน และค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายทั้งสามส่วนนี้จะรวมเป็นต้นทุนสินค้า ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในสำนักงานจะถือเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
ระบบสารสนเทศขององค์กรธุรกิจ
1. Enterprise Systems or ERP : คือ ระบบการวางแผนทรัพยากรขององค์กร
เป็นระบบที่ใช้ในการจัดการและวางแผนการใช้ทรัพยากรต่างๆ ขององค์กร
โดยเป็นระบบที่เชื่อมโยงระบบงานต่างๆ
ขององค์กรเข้าด้วยกันตั้งแต่ระบบงานทางด้านบัญชี และการเงิน ระบบงานทรัพยากรบุคคล
ระบบบริหารการผลิต รวมถึงระบบการกระจายสินค้า
เพื่อช่วยให้การวางแผนและบริหารทรัพยากรขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งยังช่วยลดเวลาและขั้นตอนการทำงานได้อีกด้วย ERP ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับบริษัทได้อย่างไร
ERP ได้แสดงถึงคุณค่าของมันเองได้เป็นอย่างดีในการเพิ่มประสิทธิภาพบริษัทของคุณ
ในระบบการรับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าจนถึงการออกใบสั่งซื้อ เก็บเงิน
และขั้นตอนอื่นๆ ที่ช่วยเติมเต็มระบบการสั่งซื้อนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไม ERP
ถึงเป็นผู้ช่วยที่คอยหนุนหลังการทำงานขององค์กรได้อย่างดี
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยการขายหน้าร้านหรือติดต่อกับลูกค้าโดยตรง แต่ ERP ได้จัดการกระบวนการการรับคำสั่งซื้อจากลูกค้ามาทำกระบวนการต่อๆ
ไปตามลำดับได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อตัวแทนขายได้ส่งคำสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาในระบบ ERP
ซึ่งตัวแทนคนนั้นจะมีข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปิดการสั่งซื้อให้
เสร็จได้ ยกตัวอย่างเช่น สามารถดูยอดลูกหนี้การค้าหรือเครดิตของลูกค้า
และยอดการสั่งซื้อที่ผ่านมาจากฝ่ายการเงินโดยเช็คจากโมดูลการเงิน
ตรวจสอบสถานะของสินค้าคงคลังจากโมดูลคลังสินค้าและสามารถดูตารางรถขนส่งได้
จากโมดูลลอจิสติกได้
2. Supply chain management system : SCM
การจัดการสายโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)กระบวนการ Supply Chain Management หรือ SCM เป็นกระบวนการของการบริหารทุกขั้นตอน
นับตั้งแต่การนำเข้าวัตถุดิบสู่กระบวนการผลิต กระบวนการสั่งซื้อ
จนกระทั่งส่งสินค้าถึงมือลูกค้าให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมกับสร้างระบบให้เกิดการไหลเวียนของข้อมูลที่ทำให้เกิดกระบวนการทำงานของแต่ละหน่วยงานส่งผ่านไปทั่วทั้งองค์การ
การไหลเวียนของข้อมูลยังรวมไปถึงลูกค้า และผู้จัดส่งวัตถุดิบด้วยกระบวนการ Supply
Chain Management มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้องค์การยกระดับความสามารถในการบริหาร
เช่น การลดสินค้าคงคลัง การเพิ่มผลิตภาพ หรือการลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน
ส่งเสริมความเติบโตของธุรกิจ เช่น การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่ให้เร็วขึ้น
การเปิดตลาดใหม่ ๆ การสร้างความพอใจแก่ลูกค้ามากขึ้น ส่งเสริมความยั่งยืนของธุรกิจ
เช่น การลดต้นทุนธุรกิจ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น
SCM คือ
กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูล และธุรกรรมต่าง ๆ
ผ่านองค์การที่เป็นผู้ส่งมอบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย
ไปจนถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคโดยที่องค์การต่าง ๆ
เหล่านี้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อกัน ในการปรับตัวขององค์การเพื่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานนั้น
สิ่งที่สำคัญ คือ เพื่อให้องค์การมีความสามารถในการบริหาร ความเติบโตของธุรกิจ
และความยั่งยืนของธุรกิจ
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นการดำเนินธุรกิจในยุคนี้ให้ประสบความสำเร็จ
และมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างแท้จริง องค์การไม่สามารถดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียว
หรือกระทำโดยลำพังได้ ดังนั้น การปรับมุมมองการดำเนินงานเข้าสู่แนวคิด SCM จึงควรมีความเข้าใจความหมายของ SCM อย่างครบถ้วนเพื่อที่จะสามารถพิจารณา
และกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง
3. Customer relationship management
system : CRM ระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์Customer Relationship
Management : CRM) เป็นกระบวนการและเทคโนโลยีเพื่อจัดการสารสนเทศเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละบุคคล
และจัดการอย่างระมัดระวังในจุดสัมผัสลูกค้า (Customer Touch Points) เพื่อทำให้ลูกค้าจงรักภักดีจุดสัมผัสลูกค้า คือ ทุกโอกาสที่ลูกค้าสัมผัสกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์จากประสบการณ์ตรงของบุคคล
หรือผ่านการสื่อสารมวลชนเพื่อสังเกตความสัมพันธ์ขั้นตอนดำเนินการCRM จะประกอบด้วยกันทั้งหมด 4 ขั้นตอนคือ1) การแยกแยะผู้มุ่งหวังและลูกค้า
(โดยใช้ฐานข้อมูลลูกค้าที่ได้มาจากทุกช่องทางและจุดที่สัมผัสลูกค้า)2)
สร้างความแตกต่างในลูกค้าจาก-ความต้องการของลูกค้าและ-คุณค่าของลูกค้าต่อบริษัท3)
จัดปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าแต่ละคนเพื่อปรับปรุงความรู้ของเราเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น4) มีผลิตภัณฑ์บริการที่เฉพาะและสื่อสารไปยังลูกค้าแต่ละคน
(เช่น Call Center และ Website) สรุปแล้ว
จุดประสงค์สำคัญของการสร้าง CRM คือ มูลค่าต่อลูกค้า
ดังนั้นองค์กรที่เน้น CRM จึงเน้นการสนทนากับลูกค้า
เพราะเป็นหัวใจของการสร้างความสัมพันธ์ การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเกิดได้ทุกที่
ทุกเวลา ทุกวิธี ซึ่งการสนทนาคือการสร้างคุณค่า คุณภาพสินค้าอย่างเดียวไม่พอ
จะต้องทำให้ลูกค้าปรารถนาเข้ามาติดต่อด้วยการสนทนาที่เป็นแบบทันใจ (Real
Time) มากที่สุด จงจำไว้ว่าสิ่งที่ผลักดันกำไรของบริษัทส่วนใหญ่คือ
มูลค่าของฐานลูกค้าของบริษัท ข้อพิจารณาสุดท้ายคือ ระดับของการลงทุนในการสร้าง CRM
จะประกอบด้วยระดับที่ 1
ความสำคัญของฐานข้อมูลลูกค้าที่จะนำไปสู่การทำตลาดจากฐานข้อมูลลูกค้า หรือ Database
Marketing โดยปกติในฐานข้อมูลจะมี ข้อมูลทางธุรกิจ
ข้อมูลลูกค้าส่วนบุคคลและการปรับข้อมูลให้ทันกับปัจจุบันระดับที่ 2
การบูรณาการของแนวคิดการตลาดแบบ STAR Marketing ประกอบด้วย1)
พื้นฐานการตลาด (Basic Marketing)2) การตลาดเชิงรับ (Reactive
Marketing)3) ความรับผิดชอบทางการตลาด (Accountable
Marketing)4) การตลาดเชิงรุก (Proactive Marketing)5) การตลาดที่เน้นพันธมิตร (Partnership Marketing)
4. Knowledge management Systems : KM ระบบการบริหารจัดการความรู้ คือ ระบบบริหารจัดการความรู้ให้เป็นระเบียบ ครบถ้วน ง่ายต่อการเรียกใช้ จัดเก็บตาม ความต้องการเก็บรักษาความรู้ให้ควบคู่กับองค์กรตลอดไป โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการ
4. Knowledge management Systems : KM ระบบการบริหารจัดการความรู้ คือ ระบบบริหารจัดการความรู้ให้เป็นระเบียบ ครบถ้วน ง่ายต่อการเรียกใช้ จัดเก็บตาม ความต้องการเก็บรักษาความรู้ให้ควบคู่กับองค์กรตลอดไป โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการ
การทํางานร่วมกัน
collaboration
การร่วมแรงร่วมใจกันทำงานกับการทำงานเป็นทีม
Collaboration and Teamwork เป็นกระบวนการที่วนเกิดขึ้นซ้ำๆระหว่างกลุ่มคนหรือองค์กรที่ทำงานร่วมกันเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใว้
โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างข้อตกลง ตัดสินใจ แก้ไขปัญหาร่วมกัน
เครือข่ายสังคมธุรกิจ
social business
1. เป็นธุรกิจที่ออกแบบและจัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้กับสังคมโดยเฉพาะให้ด้านใดด้านหนึ่ง
และ
2. จะต้องเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างฐานะทางการเงินที่มั่นคงได้
โดยกำไรที่เกิดจากธุรกิจจะถูกนำไปใช้เพื่อลงทุนต่อในธุรกิจหรือใช้เพื่อสร้างธุรกิจเพื่อสังคมขึ้นใหม่
เพื่อขยายผลกระทบต่อสังคมให้กว้างมากยิ่งขึ้น
การใช้แพลตฟอร์มเครือข่ายทางสังคม,รวมถึง Facebook, Twitter และเครื่องมือทางสังคมภายในองค์กรเพื่อดึงดูดพนักงานลูกค้าและซัพพลายเออร์ของตน
การแบ่งสารสนเทศ
สารสนเทศสามารถจัดแบ่งกลุ่มได้หลายแบบ
โดยยึดถือตามหลักอ้างอิงแบบใดแบบหนึ่ง
เพื่อให้สะดวกต่อการใช้บริการงานภายในองค์การ
ซึ่งการจัดแบ่งแต่ละแบบอาจไม่ครอบคลุมสถานการณ์ทั้งหมดที่มีอยู่จริงได้
ดังนั้นสารสนเทศเดียวกันก็อาจถูกจัดให้อยู่ในประเภทต่างๆ
กันได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน
การแสดงการจัดแบ่งกลุ่มของเทคโนโลยี
Social networks
คือ การเชื่อมต่อของบุคคลและธุรกิจ
Crowdsourcing คือ ใช้ความรู้โดยรวมในการสร้างไอเดียใหม่และแก้ไขปัญหา
Shared
workspaces คือ ประสานงานโครงการและงาน;สร้างเนื้อหาร่วมกัน
Blogs and wikis
คือ เผยแพร่และเข้าถึงความรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หารือเกี่ยวกับความคิดเห็นและประสบการณ์
Social commerce
คือ
แบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับการซื้อหรือซื้อสินค้าทางแพลตฟอร์มโซเชียล
File sharing คือ อัพโหลด แชร์ และคอมเมนต์ ใน รูปภาพ วีดีโอ เอกสารข้อความ
Social
marketing คือ ใช้โซเชียลเพื่อโต้ตอบกับลูกค้า
ได้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า
Communities คือ อภิปรายหัวข้อในฟอรัมเปิด แชร์ประสบการณ์
ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้
Productivity คือ
คนที่มีปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกันสามารถจับความรู้ของผู้เชี่ยวชาญได้และ
แก้ปัญหาได้เร็วกว่าจำนวนคนที่ทำงานแยกออกจากกัน จะมีข้อผิดพลาดน้อยลง
Quality คือ คนที่ทำงานร่วมกันสามารถสื่อสารข้อผิดพลาดได้ และ
ดำเนินการแก้ไขได้เร็วกว่าถ้าทำงานแยก
เทคโนโลยีด้านการทำงานร่วมกันและสังคมช่วยลดความล่าช้าในการออกแบบและผลิต
Innovation คือ คนทำงานร่วมกันสามารถเกิดความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นสำหรับ ผลิตภัณฑ์
บริการและ การบริหารจัดการกว่าคนที่ทำงานแยกจากกัน เป็นประโยชน์ต่อความหลากหลายและ
ภูมิปัญญาของฝูงชน
Customer
service คือ
คนทำงานร่วมกันโดยใช้ความร่วมมือและเครื่องมือทางสังคมสามารถแก้ปัญหาเรื่องร้องเรียนจากลูกค้าและปัญหาได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าถ้าพวกเขาทำงานแยกจากกัน
Financial
performance (profitability ,sales ,and sales growth)คือ
เป็นผลทั้งหมดข้างต้น บริษัท ที่ทำงานร่วมกันมียอดขายที่เหนือกว่า
มีการเติบโตของยอดขาย และมีประสิทธิภาพทางการเงิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น