องค์กร การจัดการ การตัดสินใจ
1. ให้นิยามความหมายของ “องค์กร” และเปรียบเทียบคำจำกัดความด้านเทคนิค กับคำจำกัดความด้านพฤติกรรมของคำว่า “องค์กร”
1. ให้นิยามความหมายของ “องค์กร” และเปรียบเทียบคำจำกัดความด้านเทคนิค กับคำจำกัดความด้านพฤติกรรมของคำว่า “องค์กร”
ตอบ องค์การ คือ
กลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อดำเนินการในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ในการรวมตัวจะต้องมีการจัดระเบียบการติดต่อ
การแบ่งงานกันทำและต้องมีการประสานประโยชน์ของแต่ละบุคคลด้วย
เทคนิคขององค์กร
(organization) หมายถึง
โครงสร้างทางสังคมอย่างเป็นทางการที่มีความมั่นคง
มีวัตถุประสงค์เพื่อนำทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยนำเข้าสู่ขบวนการแปลงสภาพออกมาเป็นผลลัพธ์ จากความหมายนี้องค์กรจะมุ่งเน้นไปที่ส่วนประกอบ
3 ส่วนหลัก คือ (1)
เงินทุนและแรงงานเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมและเป็นปัจจัยนำเข้าผ่านกระบวนการแปรรูป (2) องค์กรและกระบวนการแปรรูป
จะทำหน้าที่การแปลงปัจจัยนำเข้าออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการ (3)
ผลิตภัณฑ์หรือบริการจะถูกบริโภคโดยองค์ประกอบอื่นของสิ่งแวดล้อมและจะย้อนกลับมาเป็นปัจจัยนำเข้าสู่กระบวนการต่อไป
พฤติกรรมองค์การเป็นการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การอย่างเป็นระบบ
ทั้ง พฤติกรรมระดับบุคคล กลุ่ม และองค์การ
โดยใช้ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์
ซึ่งความรู้ที่ได้สามารถนำไปใช้ในการเพิ่มผลผลิตและความพึงพอใจของบุคลากร
อันนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิผลขององค์การในภาพรวม
2. อธิบายว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ
และองค์กรมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
และอธิบายว่าการนำระบบสารสนเทศมาใช้มีผลกระทบต่อองค์กรอย่างไรบ้าง
ตอบ เทคโนโลยีสารสนเทศ
และองค์กรมีความสัมพันธ์กัน คือ ปัจจุบันพัฒนาการและการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ในองค์การ
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
ซึ่งก่อให้เกิดความท้าทายแก่ผู้บริหารในอนาคตให้นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจ
โดยผู้บริหารต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และวิสัยทัศน์ต่อแนวโน้มของเทคโนโลยี
เพื่อให้สามารถตัดสินใจนำเทคโนโลยีมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งเราสามารถจำแนกผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อการทำงานขององค์การออกเป็น 5 ลักษณะ
ดังต่อไปนี้
1.
การปรับปรุงรูปแบบการทำงานขององค์การ
2.
การสนับสนุนการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์
3.
เครื่องมือในการทำงาน
4.
การเพิ่มผลผลิตของงานโดยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
5.
เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสาร
การนำระบบสารสนเทศมาใช้มีผลกระทบต่อองค์กร
คือ ความก้าวหน้าและพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศส่งผลกระทบต่อการปฎิบัติงานแต่ละหน่วยงานมากขึ้น
องค์การต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นระบบย่อยภายในระบบสังคมมีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัว
เพื่อความอยู่รอดและการเจริญเติบโตในอนาคต
ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างต่อไปนี้
หลายหน่วยงานได้ปรับโครงสร้างขององค์การจากโครงสร้างแบบลำดับขั้นเข้าสู่โครงสร้างระบบเครือข่าย
พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยให้การตัดสินใจ
และการประสานงานระหว่างหน่วยงานมีประสิทธิภาพ
จึงไม่ต้องมีการตรวจสอบและควบคุมเป็นลำดับขั้น
นอกจากบุคลากรรุ่นใหม่ยังมีความรู้และทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสูงกว่าในอดีต
จึงพร้อมที่จะรับผิดชอบในการปฏิบัติงานของตนและกลุ่มมากขึ้น
องค์การขนาดใหญ่ปรับตัวเป็นกลุ่มองค์การขนาดย่อม
เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน การประสานงาน การแข่งขัน และรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มีการสนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
โดยที่ผู้จัดการหรือหัวหน้างานจะเปลี่ยนหน้าที่จากผู้สั่งการมาเป็นผู้ฝึกสอน
ผู้ประสานงาน และอำนวยความสะดวกในการทำงาน
ระบบการเข้าทำงานแบบยืดหยุ่นจะถูกนำมาใช้
แรงงานบางส่วนจะสามารถทำงานอยู่ที่บ้าน
ขณะที่หลายฝ่ายสามารถเลือกเวลาเข้าทำงานและเลือกงานที่เหมาะสมได้เอง
นอกจากนี้กิจกรรมทางธุรกิจก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามการพลวัตรของสังคมที่ถูกผลักด้นด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
เช่น
กิจกรรมทางการเงินที่ต้องกระทำต่อเนื่องตลอดทั้งวันทั้งคืน
การผลิตและการตลาดต้องปรับตัว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายขึ้น
ช่องทางการจัดจำหน่ายจะมีมากขึ้นกว่าในอดีต เป็นต้น
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้บริหารในหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานของตนต่อไป โดยมีข้อแนะนำในการเตรียมตัว
เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในหน่วยความงานของตนต่อไป โดยมีข้อแนะนำในการเตรียมตัวเพื่อก้าวสู่ยุคสารสนเทศอย่างมั่นคง
ดังต่อไปนี้
1.
ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น
ตลอดจนทำความเข้าใจบทบาทของเทคโนโลยีใหม่ที่จะมีผลกระทบต่อองค์การและในอนาคต
2.
พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและกำลังเกิดขึ้นในแต่ละหน่วยงาน โดยเฉพาะความต้องการทางด้านข้อมูลข่าวสาร
เพื่อหาแนวโน้มความต้องการ จัดทำแผน และแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีขององค์การ
3.
เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและงบประมาณ เพื่อรองรับต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ เนื่องจากการจัดการเทคโนโลยีไม่สามารถใช้เงินซื้อหามาเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องมีความเข้าใจในศักยภาพและความพร้อมของบุคลากรประกอบด้วย
เราจะเห็นว่าการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพื้นฐาน
โดยเทคโนโลยีสารสนเทศถูกใช้ให้เป็นประโยชน์แก่องค์การในหลายด้าน ตั้งแต่
การประมวลผลงานประจำวัน การตัดสินใจของผู้จัดการ
ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ขององค์การ
นอกจากนี้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยส่งเสริมรูปแบบใหม่ในการสื่อสารข้อมูล
และการเพิ่มผลผลิตขององค์การ
3. เหตุใดจึงเกิดการต่อต้านของคนในองค์กรต่อระบบสารสนเทศ
และผู้บริหารต้องทำอย่างไรจึงจะออกแบบระบบ และนำระบบมาใช้ให้เกิดความสำเร็จ
ตอบ การต่อต้านของคนในองค์กรต่อระบบสารสนเทศ
คือ
1.ลดระดับขั้นตอนของการจัดการ สารสนเทศช่วยให้การตัดสินใจ
และประสานงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้ผู้บริหารระดับกลางได้และให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจการตัดสินใจมากขึ้น
2.มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน
เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคง่ายขึ้น
มุ่งเน้นที่ความเร็วในการดำเนินงาน และมีระดับสินค้าคงคลังให้น้อยที่สุด
สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง
3.ลดขั้นตอนการดำเนินงาน เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาใช้เพื่อช่วยให้มีกระบวนการทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์
ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และลดเวลาที่ต้องใช้
ทำให้การบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.เปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการ
ช่วยให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการบริหารจัดการ สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่าง
ๆ ในองค์การได้ตลอดเวลา ช่วยในด้านการวางแผนการผลิต
และการส่งเสริมการขายได้อย่างเหมาะสม
ระบบช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สามารถเชื่อมโยงและเก็บรวบรวมข้อมูลของสาขาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
5.กำหนดขอบเขตการดำเนินงานใหม่
ระบบสารสนเทศที่เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์การได้
มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์การและคู่ค้าซึ่งเป็นกำหนดการดำเนินงานใหม่
4.
อธิบายว่าแรงผลักดันในการแข่งขัน ของ Porter’s
competitive forces model และระบบสารสนเทศมีบทบาทต่อกลยุทธ์การบริหารอย่างไร
ตอบ แรงผลักดันในการแข่งขัน คือ 5 Forces Model เป็นโมเดลที่ใช้วิเคราะห์แรง
5 ประการของ Michael E. Porter ที่ช่วยวิเคราะห์สภาพแวดล้อมการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมที่ส่งผลกับบริษัท
ประกอบด้วยแรง 5 ประการ ดังนี้
แรงที่
1 คือ อุปสรรคที่กีดขวางการเข้าสู่ตลาดแข่งขันของผู้แข่งขันหน้าใหม่ (Barriers to entry or Threat of new entrants) เช่น
นโยบายของรัฐที่ทำให้บริษัทหน้าใหม่ไม่สามารถใช้เป็นความได้เปรียบในการเข้าสู่ตลาด
การเข้าถึงลูกค้าเสียเปรียบผู้แข่งขันเจ้าเก่าที่อยู่ในตลาดมาก่อน
หรือบริษัทหน้าใหม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงในการเข้ามาแข่งขันในตลาด การจงรักภักดีของลูกค้าต่อตรายี่ห้อสินค้าของผู้แข่งขันเจ้าเก่าเป็นอุปสรรคต่อบริษัทหน้าใหม่
แรงที่
2 คือ อำนาจต่อรองของผู้ขาย (The bargaining power
of suppliers) ถ้ามีผู้ขายน้อย
อำนาจต่อรองของผู้ขายจะสูง
ทำให้บริษัทต้องใช้เงินทุนสูงขึ้นในการซื้อสินค้าจากผู้ขาย
แรงที่
3 คือ อำนาจต่อรองของลูกค้า (The bargaining power
of buyers) หากลูกค้าซื้อปริมาณมาก
สามารถต่อรองราคาได้
จากความได้เปรียบนี้ลูกค้าสามารถเลือกผู้ขายเจ้าอื่นที่ให้ราคาสูงกว่าได้
แรงที่
4 ภัยจากสินค้าหรือบริการทดแทน (Threat of substitute
products or services) หากสินค้าหรือบริการที่บริษัทจัดทำขึ้นมา
สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย จะส่งผลให้บริษัทขายสินค้าหรือบริการยากขึ้น
แรงที่
5 ภัยจากคู่แข่งรายเดิมในตลาด (Rivalry among
existing firms) การมีคู่แข่งในตลาดมาก
จะทำให้ลดโอกาสในการขายสินค้าของบริษัท
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารหรือ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ( MIS ) หมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลและการสร้างสารสนเทศขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
การประสานงานและการควบคุม นอกจากนั้นยังช่วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในการวิเคราะห์ปัญหา
แก้ปัญหาและสร้างผลิตภัณฑ์หรือผลงานใหม่โดยใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware ) และโปรแกรม
( Software ) รวมทั้งผู้ใช้ (Peopleware)
เพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จในการได้มาซึ่งสารสนเทศที่มีประโยชน์
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารเป็นระบบซึ่งรวมความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศเพื่อการดำเนินงาน การจัดการและการตัดสินใจในองค์กร
เนื้อหาของการจัดการสารสนเทศครอบคลุมถึงเรื่องต่อไปนี้
1.
ศาสตร์และศิลป์ในการจัดการและการตัดสินใจ
2.
จิตวิทยาและพฤติกรรมการแสดงออกซึ่งจะเป็นตัวกำหนดถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของระบบสารสนเทศ
3.
สภาพแวดล้อม ( Environment ) และการผลักดันทางเทคโนโลยีเพื่อก่อให้เกิดโอกาสในการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
4.
วิธีการสร้างระบบสารสนเทศเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในการช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ ( Decision Support System )
การจัดโครงสร้างของสารสนเทศ
หากจะแบ่งตามลำดับการนำไปใช้งานสามารถแบ่งได้ เป็น 4 ระดับคือ
1. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในการวางแผน นโยบาย
กลยุทธ์ การตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง ( Top
Management )
2.
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในส่วนยุทธวิธีในการวางแผนการปฏิบัติและการตัดสินใจในผู้บริหารระดับกลาง
( Middle Manangement )
3.
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในระดับปฏิบัติการและการควบคุม
ในขั้นตอนนี้ผู้บริหารระดับล่าง ( Bottom
Management ) จะเป็นผู้ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยในการปฏิบัติงาน
4. ระบบสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผล
ในขั้นตอนนี้พนักงานจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและป้อนข้อมูลเข้าสู่กระบวนการประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศออกนำเสนอต่อผู้บริหาร
5. กลยุทธ์การแข่งขันขององค์กรมีกลยุทธ์อะไรบ้าง และระบบสารสนเทศมีส่วนสนับสนุนแต่ละกลยุทธ์อย่างไร
ตอบ การกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
1.
กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านต้นทุน
การพัฒนาหนทางที่จะกลายเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการราคาย่อมเยาในวงการ
2.
กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง
การพัฒนาหนทางที่จะสร้างสินค้าหรือบริการของตนให้มีความแตกต่างไปจากคู่แข่ง
3.
กลยุทธ์นวัตกรรม การค้นหาหนทางใหม่ๆในการทำธุรกิจกิจ
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อกระบวนการการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าหรือบริการ
4.
กลยุทธ์การเจริญเติบโต คือ การขยายกำลังการผลิตสินค้าและบริการอย่างกว้างขวางขึ้น
5.
กลยุทธ์การสร้างพันธมิตร คือ การสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพันธมิตรทางธุรกิจกับลูกค้า
ผู้จัดหาสินค้า คู่แข่ง ที่ปรึกษา และบริษัทอื่นๆ ซึ่งอาจรวมถึงการรวมกิจการ
การซื่อกิจการ การร่วมลงทุน
6.
กลยุทธ์การปรับปรุงสินค้าหรือบริการเดิมให้ดียิ่งขึ้น เช่น
กิจการผลิตรถยนต์อาจเสนอช่วงเวลารับประกันสินค้าที่ยาวนานกว่า
หรือกิจการขายบ้านจัดสรรอาจเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการผ่อนชำระค่างวดเมื่อซื้อบ้านจัดสรรกับธนาคาร
6. ให้นิยามความหมายของ”การจัดการ”
และหน้าที่ทางการจัดการแบ่งออกเป็นกี่หน้าที่
แต่ละหน้าที่สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
ตอบ การจัดการ
คือการทำให้กลุ่มบุคคลในองค์กรเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันขององค์กร
การจัดการประกอบด้วยการวางแผน การจัดการองค์กร การสรรบุคลากร การนำหรือการสั่งการ
และการควบคุมองค์กรหรือความพยายามที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
การจัดการทรัพยากรประกอบด้วยการใช้งานและการจัดวางทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรการเงิน
ทรัพยากรเทคโนโลยี และทรัพยากรธรรมชาติ
และยังช่วยการบริหารให้กับองค์กรต่างๆให้เจริญรุ่งเรือง
หน้าที่ทางการจัดการ
(Management Function) เฮนรี่ ฟาโย บางคนอ่าน อองรี ฟาโย (Henri Fayol) ได้อธิบายถึงกระบวนการจัดการงานว่า
ประกอบด้วยหน้าที่ (functions) ทางการจัดการ 5 ประการ คือ (P-O-C-C-C)
1.
การวางแผน (Planning) หมายถึง
ภาระหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องทำการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ
ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจ
และกำหนดขึ้นเป็นแผนการปฏิบัติงานหรือวิถีทางที่จะปฏิบัติเอาไว้
เพื่อสำหรับเป็นแนวทางของการทำงานในอนาคตและเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่ได้ดีและสามารถนำออกมาใช้ได้อย่างง่าย
2.
การจัดองค์การ (Organizing) หมายถึง ภาระหน้าที่ที่ผู้บริหารจำต้องจัดให้มีโครงสร้างของงานต่าง
ๆ และอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้เครื่องจักร สิ่งของและตัวคน
อยู่ในส่วนประกอบที่เหมาะสม ในอันที่จะช่วยให้งานขององค์การบรรลุผลสำเร็จได้และเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้สามารถจะการระบบต่างๆได้ง่ายขึ้น
3.
การบังคับบัญชาสั่งการ (Commanding) หมายถึง หน้าที่ในการสั่งงานต่าง ๆ ของผู้ใต้บังคับบัญชา
ซึ่งกระทำให้สำเร็จผลด้วยดี โดยที่ผู้บริหารจะต้องกระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี
จะต้องเข้าใจคนงานของตนและเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้สามารถสั่งการได้โดยผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศได้ง่ายและสะดวกขึ้น
4.
การประสานงาน (Coordinating) หมายถึง
ภาระหน้าที่ที่จะต้องเชื่อมโยงงานของทุกคนให้เข้ากันได้
และกำกับให้ไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันและเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้สามารถประสานงานได้สะดวกขึ้นเพราะเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมต่อกันทั่วโลก
5.
การควบคุม (Controlling) หมายถึง
ภาระหน้าที่ในการที่จะต้องกำกับให้สามารถประกันได้ว่ากิจกรรมต่าง ๆ
ที่ทำไปนั้นสามารถเข้ากันได้กับแผนที่ได้วางไว้แล้ว
7.ผู้บริหารแบ่งออกเป็นกี่ระดับ
อะไรบ้าง ผู้บริหารแต่ละระดับมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญอย่างไร
และสรุปความสำคัญและลักษณะของสารสนเทศที่ต้องการของผู้บริหารแต่ละระดับ
ระดับและหน้าที่ของผู้บริหาร โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3
ระดับ ดังนี้
1. ผู้บริหารระดับสูง (Top Manager)
เป็นผู้บริหารที่อยู่ในตำแหน่งบริหารสูงสุดขององค์การ
ได้แก่ ประธาน รองประธาน หัวหน้า สำนักงานบริหาร กรรมการผู้จัดการใหญ่
กรรมการอำนวยการ ผู้จัดการอาวุโส
-หน้าที่ผู้บริหารระดับสูง
มีหน้าที่บริหารงานโดยตลอดทั้งองค์การใช้เงลาส่วนใหญืไปในการกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์การ
กำหนดกลยุทธ์ กำหนดนโยบาย และวางแผนระยะยาว
รวมถึงการตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีความสำคัญ เช่น การผลิตสินค้าใหม่
การลดหรือเพิ่มราคาสินค้า การดำเนินงานในต่างประเทศ
ผู้บริหารระดับสูงจะต้องให้ความสนใจสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การมากกว่าสภาพสิ่งแวดล้อมภายในองค์การ
2. ผู้บริหารระดับกลาง
(Middle Manager)
เป็นผู้บริหารที่อยู่ระหว่างผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารระดับต้น
ได้แก่ ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการฝ่ายต่างๆ หรือหัวหน้างานต่างๆ
-หน้าที่ผู้บริหารระดับกลาง
มีหน้าที่รับนโยบายจากผูบริหารระดับสูงไปปฏิบัติรับผิดชอบในฝ่ายของตนเอง
วางแผนและจัดระเบียบวิธีปฏิบัติงานเฉพาะอย่างเพื่อให้งานในความรับผิดชอบประสบความสำเร็จตามนโยบายของผู้บริหารระดับสูง
3. ผู้บริหารระดับต้น
(First – Level Manager)
เป็นผู้บริหารที่อยู่ส่วนล่สงขององค์การและทำงานเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ปฏิบัตงาน
ได้แก่ ผู้ควบคุม หัวหน้างาน หัวหน้าแผนก
- หน้าที่ผู้บริหารระดับต้น
มีหน้าที่กำกับดูแลและสั่งการโดยตรงต่อพนักงาน
ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจในระยะสั้นวันต่อวันหรือสัปดาห์ต่อสัปดาห์
ต้องรับรายงานโดยตรงจากพนักงานและเสนอรายงานต่อผู้บริหารระดับกลางและสูงต่อไป
ระดับผู้บริหาร
|
||||
ประการตัดสินใจ
|
ระดับผู้ปฏิบัติการ
|
ระดับชำนาญการ
|
ระดับควบคุมการบริหาร
|
ระดับกลยุทธ์
|
มีโครงสร้าง
|
TPS
|
|||
กึ่งโครงสร้าง
|
OIS
|
MIS
|
||
DSS
|
||||
ไม่มีโครงสร้าง
|
KW
|
ESS
|
8. อธิบายความต้องการสารสนเทศต่อแต่ละบทบาทของผู้บริหาร
พร้อมทั้งระบบสารสนเทศใดที่สนับสนุนแต่ละบทบาทของผู้บริหาร
ตอบ บทบาทของผู้บริหาร แบ่งออกเป็น 3 แบบ
ได้แก่
1. บทบาทระหว่างบุคคล
(Interpersonal roles) ได้แก่ บทบาทจากหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ได้แก่
-หัวหน้า (Figurehead) มีบทบาทในการบังคับบุคคลเพื่อให้ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบ
-ผู้นำ (Leader) มีบทบาทในการกระตุ้น/เร้าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในด้านการทำงาน
หรือด้านอื่นๆ
-ผู้ติดต่อ (Liaison) มีบทบาทในการติดต่อกับองค์กรหรือหน่วยงานภายนอก
เพื่อให้ได้ข้อมูลและบริการด้านการค้า
2. บทบาทด้านสารสนเทศ
(Informational roles) ได้แก่
-ผู้ตรวจสอบ (Monitor) มีบทบาทในการค้นหาและรับข้อมูลมาใช้
เพื่อให้เกิดความเข้าใจองค์กรและสภาพแวดล้อมภายนอก
-ผู้เผยแพร่ (Disseminator) มีบทบาทในการส่งข้อมูลที่ได้รับจากภายนอก
หรือจากหน่วยงานย่อย
ให้กับสมาชิกขององค์กร
-โฆษก (Spokesman) มีบทบาทในการส่งข้อมูลไปยังภายนอก
ตามแผนหรือนโยบายขององค์กร
3.
บทบาทด้านการตัดสินใจ (Decisional roles) ได้แก่
-ผู้จัดการ (Entrepreneur) มีบทบาทในการค้นหาการจัดการและสภาพแวดล้อมที่เป็นโอกาส
และริเริ่มหรือแนะนำในด้านการควบคุมภายในองค์กร
-ผู้จัดการสิ่งรบกวน (Disturbance Handler) มีบทบาทในการปรับการทำงานให้ไปในทางที่ถูกเมื่อองค์การเผชิญกับสิ่งรบกวนที่ไม่คาดคิดมาก่อน
-ผู้จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocator) มีบทบาทในการจัดสรรทรัพยากร ให้แก่หน่วยงานต่างๆ
ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้
-ผู้เจรจา (Negotiator) มีบทบาทในการเป็นตัวแทนองค์กรในการติดต่อเจรจากับองค์กรอื่นๆ
9. ให้นิยามความหมายของ”การตัดสินใจ”และระดับของการตัดสินใจแบ่งเป็นกี่ระดับอะไรบ้าง
ตอบ การตัดสินใจ คือ ขบวนการในการเลือก
ทางเลือกในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ซึ่งในปัจจุบันทุกองค์กรต่างก็ต้องทำการตัดสินใจทั้งสิ้น
โดยในการดำเนินงานภายในองค์กรต่างก็ต้องเผชิญปัญหาต่างๆ มากมาย
ในการแก้ปัญหาเหล่านั้นต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ และตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งในการแก้ปัญหานั้นอาจมีวิธีที่เป็นไปได้หลายทาง
จึงจำเป็นต้องทำการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม หรือเพื่อให้เป็น
ไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรที่ได้วางไว้มากที่สุด
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการตัดสินใจนั้นเป็นขบวนการหนึ่งในการแก้ปัญหา
โดยขบวนการในการ แก้ปัญหานั้นประกอบด้วย
การกำหนดปัญหา (Intelligent Phase) เป็นขั้นตอนในการกำหนดหรือนิยามปัญหาที่เกิดขึ้น
การออกแบบ (Design Phase) เป็นขั้นตอนในการสร้างตัวแบบเพื่อแทนตัวระบบจริง
ตั้งสมมติฐานและเขียนความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมด กำหนดเงื่อนไขแบบต่างๆ
และทำการพัฒนาทางเลือกต่างๆ ขึ้น
การเลือก (Choice Phase) เป็นขั้นตอนในการเลือกชุดของทางเลือกที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
และ ทำการทดลองกับทางเลือกนั้นก่อน และเลือกทางที่สมเหตุสมผลที่สุ
การนำไปปฏิบัติ (Implementation Phase) เป็นขั้นตอนในการนำทางเลือกที่เลือกไว้มาปฏิบัติจริงเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
การตรวจสอบ (Monitoring Phase) เป็นขั้นตอนที่ผู้ตัดสินใจทำการประเมินผลของทางเลือกที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหา
10. รูปแบบการตัดสินใจของผู้บริหารมีอะไรบ้าง
แต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ รูปแบบการตัดสินใจของผู้บริหาร แบ่งออกเป็น
2 ชนิด คือ
1.
การตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง (Structured
Decisions) เป็นปัญหาที่ทราบดีและเกิดซ้ำ
ๆ มักเป็นงานประจำวัน เช่นการตัดสินใจในการลงทุน
2.
การตัดสินในแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured
Decisions) เป็นปัญหาที่ไม่อาจหาคำตอบได้แน่นอน
ต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญ ความรู้ ในการตัดสินใจ เช่น ปัญหาพนักงานประท้วง
เป็นต้น
11. อธิบายกระบวนการตัดสินใจของ
Simon ประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง
ตอบ หลักการและแนวคิด :
การตัดสินใจ (Decision – making) เป็นสิ่งสำคัญของการบริหาร โดยเห็นว่า “ความสำเร็จของการบริหารขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่ดี” และการตัดสินใจที่ดีย่อมนำไปสู่ความสำเร็จขององค์การ
หากการตัดสินใจผิดพลาดจะทำให้การบริหารงาน ภายในองค์การนั้นล้มเหลวได้ในที่สุด
ในระยะแรก การตัดสินใจตามหลักของ Simon จะเป็นการตัดสินใจโดยพยายามแยก
“ค่านิยม” ออกจาก
“ข้อเท็จจริง” คือเห็นว่า
ค่านิยมเป็นเรื่องของสิ่งที่ดีกว่าหรือชอบมากกว่า
แต่ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่ยืนยันทดสอบได้
ดังนั้นการตัดสินใจควรจะแยก 2 สิ่งนี้
ออกจากกันให้มากที่สุด เพื่อทำให้การตัดสินใจถูกต้องมากขึ้น
ต่อมาในปี 1957 Simon ได้เปลี่ยนแปลงแนวความคิดเรื่องพฤติกรรมการตัดสินใจที่อาศัยหลักเหตุผล
อันเป็นกระบวนการตัดสินใจที่จะต้องมีความขัดแย้งเกี่ยวกับเป้าหมาย กล่าวคือ
มีการจัดลำดับความสำคัญ การเสนอทางเลือกที่เป็นไปได้ การเปรีบเทียบทางเลือก
และผลของทางเลือกที่กำหนดขึ้น
และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
Simon เห็นว่าในความเป็นจริงแล้ว
ในระบบบริหารนั้นมีข้อจำกัดหลายประการที่จะทำให้การตัดสินใจเลือกได้หลายๆทาง
โดยปกติมักสนใจแต่ข้อมูลเพียงบางด้านเท่านั้น อีกทั้งยังอาจมีข้อจำกัดด้านความรู้
ความสามารถและประสบการณ์ ตลอดจนงบประมาณที่จะศึกษาเปรียบเทียบทางเลือกได้ทั้งหมด
นอกเหนือจากนี้ข้อมูลที่สำคัญบางครั้งก็หายากหรือหาไม่ได้เลย โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต
ดังนั้น ทุกคนจึงตัดสินใจโดยใช้หลักเหตุผลเพียงส่วนหนึ่ง (Boumded Rationality) และใช้ความพึงพอใจ (Sastisfacting)
อีกส่วนหนึ่ง
การตัดสินใจจึงไม่ใช่เรื่องของการให้ผลได้มากที่สุด (Maximizing) เรียกว่า
“การตัดสินใจ
โดยยึดหลักเหตุผลแต่เพียงบางส่วน”
(Boumded
Rationality) อันเป็นแนวความคิดที่อยู่ระหว่างการใช้เหตุผล
และ การไม่ใช้เหตุผล โดยนักบริหารจะต้องตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เขาพึงพอใจ (Good) หรือดีพอสมควร
(Good Enough) เพราะว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะเลือกทางเลือกที่ให้เหตุผลมากที่สุด
จาก The
Proverbs of Administration : Herbert Simon
เขียนไว้ว่า
หน้าที่ของผู้บริหาร 7 ประการ ที่สำคัญสุดมีเพียงหน้าที่เดียวคือ
การตัดสินใจให้ดีและถูกและนำไปสู่การประสานและร่วมมือได้
ทั้งนี้การตัดสินใจจะดีหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจภายใต้หลักการ
อย่าตัดสินใจภายใต้ความรู้สึกของตัวเอง ความเป็นจริง
หลีกหนีการตัดสินใจของผู้บริหารภายใต้ค่านิยมไม่ได้ แต่ขอให้มีน้อยที่สุด
อย่าให้ครอบงำการตัดสินใจ จนกระทั่งขาดซึ่งการพิจารณาหลักการ
การตัดสินใจควรยึดหลักเหตุผล
ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยให้ความสำคัญของการตัดสินใจว่าเป็น
องค์ประกอบสำคัญยิ่งในการศึกษาเกี่ยวกับองค์การจึงเสนอให้ใช้แนวคิดของการใช้เหตุผลที่จำกัด
(Limited or bounded rationality)ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่อาจจะให้ผลที่ดีที่สุด
แต่ทำให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดและมีความเป็นไปได้
12.อธิบายระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการแต่ละชนิด
สนับสนุนประเภทการตัดสินใจ และการตัดสินใจของผู้บริหารแต่ละระดับ อย่างไร
ตอบ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ MIS : Management Information System (เมเนทเม้นต์ อินฟอเมชัน ซิสเต็มส์)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ หมายถึง
ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายใน
และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์
เพื่อนำมาประมวลผลและจัดรูปแบบให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการทำงาน
และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ของผู้บริหาร
เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดย MIS (เอ็มเอสไอ)
จะประกอบด้วยหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ
1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
ทั้งจากภายใน และภายนอกองค์การมาไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ
2.
สามารถทำการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงาน และการบริหารงMIS คือ
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากทั้งภายใน และภายนอกองค์การมาไว้อย่างเป็นระบบ
เพื่อทำการประมวลผลและจัดรูปแบบข้อมูลให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสม
เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้ การทำงานต่าง ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 4
ระบบย่อย ดังต่อไปนี้
1. ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ TPS : Transaction Processing System (ทรานเซคชัน โปรเซสชิง ซิสเต็ม)
TPS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบ
และพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การ
โดยใช้เครื่องมือทางอีเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ
คอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ โดยที่ TPS จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานในแต่ละวันขององค์การเป็นไปอย่างเรียบร้อยเป็นระบบ
2. ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ MRS : Management Report System (เมเนทเม้นต์ รีพอร์ต ซิสเต็ม)
MRS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบ และพัฒนาขึ้นเพื่อรวบรวม
ประมวลผล จัดระบบ และจัดทำรายงาน หรือเอกสารสำหรับช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้อง กับการบริหาร โดยที่ MRS จะจัดทำรายงานหรือเอกสาร
และส่งต่อไปยังฝ่ายจัดการตามระยะเวลาที่กำหนด หรือตามความต้องการของผู้บริหาร
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ DSS : Decision Supporting System (ดิคิสซัน ซัพพอร์ตติง ซิสเต็ม)
DSS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่จัดหาหรือจัดเตรียมข้อมูลสำคัญสำหรับผู้บริหาร
เพื่อจะช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น
4. ระบบสารสนเทศสำนักงาน OIS : Office Information System (ออฟฟิส อินฟอเมชัน ซิสเต็ม)
OIS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น
เพื่อช่วยให้การทำงานในสำนักงานมีประสิทธิภาพ โดย OIS
จะประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและ
เทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงานที่ถูกออกแบบให้ปฏิบัติงานร่วมกัน
เพื่อให้การปฏิบัติงานในสำนักงานเกิดผลสูงสุดานของผู้บริหาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น