1. ส่วนประกอบหลักของเครือข่ายโทรคมนาคมและเทคโนโลยีระบบเครือข่ายหลักคืออะไร
ตอบ ระบบโทรคมนาคม (Telecommunications
Systems) คือระบบที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์จำนวนหนึ่งที่สามารถทำงานร่วมกันและถูกจัดไว้สำหรับการสื่อสารข้อมูลจากสถานที่แห่งหนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถถ่ายทอดข้อความ ภาพกราฟฟิก
เสียงสนทนา และวิดีทัศน์ได้ มีรายละเอียดของโครงสร้างส่วนประกอบดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือเปลี่ยนปริมาณใดให้เป็นไฟฟ้า
(Transducer) เช่น โทรศัพท์ หรือไมโครโฟน
2. เครื่องเทอร์มินอลสำหรับการรับข้อมูลหรือแสดงผลข้อมูล
เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์
3. อุปกรณ์ประมวลผลการสื่อสาร
(Transmitter) ทำหน้าที่แปรรูปสัญญาณไฟฟ้าให้เหมาะสมกับช่องสัญญาณ
เช่น โมเด็ม (MODEM) มัลติเพล็กเซอร์ (multiplexer) แอมพลิไฟเออร์ (Amplifier) ดำเนินการได้ทั้งรับและส่งข้อมูล
4. ช่องทางสื่อสาร
(Transmission Channel) หมายถึงการเชื่อมต่อรูปแบบใดๆ เช่น
สายโทรศัพท์ ใยแก้วนำแสง สายโคแอกเซียล หรือแม้แต่การสื่อสารแบบไร้สาย
5. ซอฟท์แวร์การสื่อสารซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกิจกรรมการรับส่งข้อมูลและอำนวยความสะดวกในการสื่อสาร
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น
เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย
จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น
เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง
ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น
คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร
การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน
หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู
แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ
ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและ
มากขึ้นจากเดิม
การเชื่อมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถิ่น
ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การทำงานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลต่างๆ
มีการทำฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการระบบสือสารหน่วยบริการใช้เครื่องพิมพ์
หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการปลายทาง
และอุปกรณ์ประกอบสำหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายเพื่อจะทำงานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในรูป เป็นตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มเชื่อมโยงเป็นระบบ
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
(Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์
มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource)ในเครือข่ายนั้น
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร
(Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation
or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network
Operation System
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
หมายถึงคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการทรัพยากร (Resources) ต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยความจำสำรอง ฐานข้อมูล
และ โปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ในระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มักเรียกว่าคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ในระบบเครือข่ายระยะไกล
ที่ใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือ มินิคอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย
เรานิยมเรียกว่า
Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน
Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน
ช่องทางการสื่อสาร
ช่องทางการสื่อสารหมายถึง
สื่อกลางหรือเส้นทางที่ใช้เป็นทางผ่าน ในการรับส่งข้อมูล ระหว่างผู้รับ (Receiver) และผู้ส่งข้อมูล (Transmitter) ปัจจุบันมีช่องทางการสื่อสาร
สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย คอมพิวเตอร์มีหลายประเภทคือ
สายโทรศัพท์แบบสายคู่ตีเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) สายคู่ตีเกลียว
แบบมีฉนวนหุ้ม (STP) สายโคแอคเชียล สายใยแก้วนำแสง
คลื่นไมโครเวป และดาวเทียม เป็นต้น
สถานีงาน
สถานีงาน (Workstation
or Terminal) หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
ที่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางหรือสถานีงาน
ที่ได้รับการบริการจากเครื่อง คอมพิวเตอร์แม่ข่าย เรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ลูกข่าย(Workstation) ในระบบเครือข่ายระยะใกล้ มักมีหน่วยประมวลผล หรือซีพียูของตนเอง
ในระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม เป็นศูนย์กลาง
เรียกสถานีปลายทางว่าเทอร์มินอล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและแป้นพิมพ์เท่านั้น
ไม่มีหน่วยประมวลกลางของตัวเอง ต้องใช้หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางหรือ Host
อุปกรณ์ในเครือข่าย
การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย
(Network Interface Card :NIC) หมายถึง
แผงวงจรสำหรับ ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย
ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย
หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้
องค์ประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
-โมเด็ม ( Modem
: Modulator Demodulator) หมายถึง
อุปกรณ์สำหรับการแปลงสัญญาณดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง
เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก(Analog) เมื่อถึงคอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ
โมเด็มก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก ให้เป็นดิจิตอลนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อทำการประมวลผล โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล
โดยการใชสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลาง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
-ฮับ
( Hub) คือ
อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ใช้เป็นจุดรวม และ แยกสายสัญญาณ เพื่อให้เกิดความสะดวก
ในการเชื่อมต่อของเครือข่ายแบบดาว (Star) โดยปกติใช้เป็นจุดรวมการเชื่อมต่อสายสัญญาณระหว่าง File
Server กับ Workstation ต่าง ๆ
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ จัดการระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์
เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร
แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
ทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัย ของระบบเครือข่าย และยังมีหน้าที่ควบคุม
การนำโปรแกรมประยุกต์ ด้านการติดต่อสื่อสาร มาทำงานในระบบเครือข่ายอีกด้วย นับว่า
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
มีความสำคัญต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างยิ่ง ตัวอย่าง ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่
ระบบปฏิบัติการ Windows NT , Linux , Novell Netware
, Windows XP ,Windows 2000 , Solaris , Unix เป็นต้น
2. เครือข่ายประเภทต่างๆมีอะไรบ้าง
ตอบ ประเภทของระบบเครือข่าย
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( computer network ) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลทรัพยากรร่วมกันได้
เช่น สามารถใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน สามารถใช้ฮาร์ดดิสก์ร่วมกัน
แบ่งปันการใช้อุปกรณ์อื่นๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้
แม้กระทั่งสามารถใช้โปรแกรมร่วมกันได้เป็นการลดต้นทุนขององค์กรเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามพื้นที่ที่ครอบคลุมการใช้งานของเครือข่าย
ดังนี้
1. เครือข่ายส่วนบุคคล หรือแพน
( Personal Area Network: PAN )
เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล เช่น
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ
การเชื่อมต่อพีดีเอกับเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งการเชื่อมต่อแบบนี้จะอยู่ในระยะใกล้
และมีการเชื่อมต่อแบบไร้สาย
2. เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน ( Local
Area Network: LAN )
เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น ภายในบ้าน ภายในสำนักงาน
และภายในอาคาร สำหรับการใช้งานภายในบ้านนั้นอาจเรียกเครือข่ายประเภทนี้ว่า
เครือข่ายที่พักอาศัย ( home network ) โดยอาจเป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่
2 เครื่อง หรือมากกว่า
เครือข่ายแลนจัดได้ว่าเป็นเครือข่ายเฉพาะองค์กร
การเชื่อมต่อเครือข่ายแลนสามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพกับองค์กรมากที่สุด
เนื่องจากเครือข่ายแลนนี้จะทำหน้าที่เชื่อมประสานงานการทำงาน บริหารการจัดการทรัพยากรต่าง
ๆ ได้ดีที่สุด เช่น การติดตั้งเครื่องพิมพ์ส่วนกลาง การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการแฟ้ม การรับ-ส่งเอกสาร รายงานต่าง ๆ เพื่อใช้ตัดสินใจในองค์กร
เนื่องจากอุปกรณ์แต่ละชิ้นจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ห่างไกลมากนัก
จึงสามารถทำความเร็วในการสื่อสารและมีอัตราการถูกรบกวนของสัญญาณน้อย ซึ่งอาจใช้การเชื่อมต่อแบบใช้สายหรือไร้สายก็ได้
3. เครือข่ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan
Area Network: MAN)
เป็นเครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงแลนที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น
การเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสำนักงานที่อาจอยู่คนละอาคารและมีระยะทางไกลกัน
การเชื่อมต่อเครือข่ายชนิดนี้อาจใช้สายไฟเบอร์ออพติก
หรือบางครั้งอาจใช้ไมโครเวฟเชื่อมต่อ เครือข่ายแบบนี้ใช้ในสถานศึกษามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเครือข่ายแคมปัส
( Campus Area Network: CAN )
ซึ่งถือว่าเป็นระบบเครือข่ายที่มีการเชื่อมต่อกันในระหว่างที่กว้างใหญ่
ครอบคลุมระยะทางเป็น 100 กิโลเมตร
ที่มีการติดต่อกันในระยะที่ไกลกว่าระบบแลนและใกล้กว่าระบบแวน
เป็นการติดต่อระหว่างเมือง เช่น กรุงเทพฯ กับเชียงใหม่
เชียงใหม่กับยะลาหรือเป็นการติดต่อระหว่างรัฐ โดยมีรูปแบบการเชื่อมต่อแบบ Ring
ตัวอย่างเช่น ระบบ FDDI (Fibre Data Distributed Interface) ที่มีรัศมีหรือระยะทางการเชื่อมต่ออยู่ที่ 100 กิโลเมตร
อัตราความเร็วอยู่ที่ 100 Mbps มีรูปแบบการเชื่อมต่อที่ประกอบด้วยวงแหวนสองชั้นๆ
แรกเป็น Primary Ring ส่วนชั้นที่ 2 เป็น
Secondary Ring หรือ Backup Ring โดยชั้น
Secondary Ring จะทำงานแทนกันทันทีที่สายสัญญาณใน Primary
Ring ขาด FDDI เป็นโปรโตคอลของเครือข่ายที่เน้นการจัดส่งข้อมูลที่ความที่ความเร็วสูง
ส่งได้ในระยะทางที่ไกลและมีความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากใช้สายใยแก้วนำแสง
จึงมีผู้นำ FDDI สูง มาใช้เป็นแบ็กโบนเพื่อการขนส่งข้อมูล
อย่างไรก็ดีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ FDDI สูง
ประกอบกับการที่ระบบ Gigabit Ethernet ถูกออกแบบมาให้แทนที่ FDDI
ดังนั้นโครงข่ายนี้กำลังถูกกลืนด้วยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีในที่สุด
4. เครือข่ายวงกว้าง
หรือแวน (Wide Area Network: WAN)
เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล
ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยอุปกรณ์แปลงสัญญาณ เช่น โมเด็ม
ช่วยในการติดต่อสื่อสารหรือสามารถนำเครือข่ายท้องถิ่นมาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายระยะไกล
เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เครือข่ายระบบธนาคารทั่วโลก หรือเครือข่ายของสายการบิน
เป็นต้น
เครือข่าย WAN สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ
1 . เครือข่ายส่วนตัว (private network) เป็นการจัดตั้งระบบเครือข่ายซึ่งมีการใช้งานเฉพาะองค์กร
เช่น องค์กรที่มีสาขาอาจทำการสร้างระบบเครือข่าย
เพื่อเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานใหญ่กับสาขาที่มีอยู่ เป็นต้น
การจัดตั้งระบบเครือข่ายส่วนตัวมีจุดเด่นในเรื่องของการรักษาความลับของ ข้อมูล
สามารถควบคุมดูแลเครือข่ายและขยายเครือข่ายไปยังจุดที่ต้องการ
ส่วนข้อเสียคือในกรณีที่ไม่ได้มีการส่งข้อมูลต่อเนื่องตลอดเวลา
จะเสียค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อเทียบกับการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายสาธารณะ
และหากมีการส่งข้อมูลระหว่างสาขาต่างๆ
จะต้องมีการจัดหาช่องทางสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างแต่ละสาขาด้วย
ซึ่งอาจจะไม่สามารถจัดช่องทางการสื่อสารไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้
2. เครือข่ายสาธารณะ (PDN: public data
network) หรือบางครั้งเรียกว่าเครือข่ายมูลค่าเพิ่ม
(VAN: Value Added Network) เป็นเครือข่าย WAN ที่จะมีองค์กรหนึ่ง (third party) เป็นผู้ทำหน้าที่ในการเดินระบบเครือข่าย
และให้เช่าช่องทางการสื่อสารให้กับ บริษัทต่างๆ ที่ต้องการสร้างระบบเครือข่าย
ซึ่งบริษัทจะลดค่าใช้จ่ายของตนลงได้
เนื่องจากมีบุคคลอื่นมาช่วยแบ่งปันค่าใช้จ่ายไป ซึ่งจะนิยมใช้กันมาก
เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการจัดตั้งเครือข่ายส่วนตัว
สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาในการจัดตั้งเครือข่ายใหม่
รวมทั้งมีบริการให้เลือกอย่าง หลากหลาย ซึ่งแตกต่างกันไปทั้งในส่วนของราคา
ความเร็ว ขอบเขตพื้นที่บริการ และความเหมาะสมกับงานแบบต่าง ๆ
ลักษณะของเครือข่าย ในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกันสามารถแงลักษณะของเครือข่ายตามบทบาทของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการสื่อสารได้ดังนี้
1) เครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ
หรือไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์ (client-server network) จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องให้บริการต่างๆ
เช่น บริการเว็บ และบริการฐานข้อมูล
การให้บริการขึ้นกับการร้องขอบริการจากเครื่องรับบริการ เช่น การเปิดเว็บเพจ
เครื่องรับบริการจะร้องขอบริการไปที่เครื่องบริการเว็บ
จากนั้นเครื่องให้บริการเว็บจะตอบรับและส่งข้อมูลกลับมาให้เครื่องรับบริการ
ข้อดีของระบบนี้คือสามารถให้บริการแก่เครื่องรับบริการได้เป็นจำนวนมาก
ข้อด้อยคือระบบนี้มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบำรุงรักษาค่อนข้างสูง
2) เครือข่ายระดับเดียวกัน Peer- to-Peer
network: P2P network ) เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องให้บริการและเครื่องรับบริการในขณะเดียวกัน
การใช้งานส่วนใหญ่มักใช้ในการแบ่งปันข้อมูล เช่น เพลง ภาพยนตร์ โปรแกรม และเกม
เครือข่ายแบบนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตการใช้งานจะมีซอฟต์แวร์เฉพาะ
เช่น โปรแกรม eDonkey, BitTorrent และ Lime
Wire ข้อดีของระบบแบบนี้คือง่ายต่อการใช้งาน และราคาไม่แพง
ข้อด้อยคือไม่มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัย จึงอาจพบว่าถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางไม่ถูกต้อง
เช่น การแบ่งปันเพลง ภาพยนตร์ และโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย
3. อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทำงานอย่างไรและจะสนับสนุนการสื่อสารและธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไร
ตอบ การทำงานของอินเทอร์เน็ต
การสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะมีโปรโตคอล
(Protocol)
ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานของการเชื่อมต่อกำหนดไว้
โปรโตคอลที่เป็นมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คือ TCP/IP
(Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องมีหมายเลขประจำเครื่อง
ที่เรียกว่า IP
Address เพื่อเอาไว้อ้างอิงหรือติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ
ในเครือข่าย ซึ่ง IP ในที่นี้ก็คือ Internet Protocol
ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเอง IP
address ถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32 บิต
ใน 1 ชุดนี้จะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน
เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด
(.) ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ไม่เกิน 256 คือ
ตั้งแต่ 0 จนถึง 255 เท่านั้น เช่น IP
address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของสถาบันราชภัฎสวนดุสิต คือ 203.183.233.6
ซึ่ง IP Address ชุดนี้จะใช้เป็นที่อยู่เพื่อติดต่อกับ
เครื่องพิวเตอร์อื่นๆ
ในเครือข่าย
โดเมนเนม (Domain name system
:DNS)
เนื่องจากการติดต่อสื่อสารกันกันในระบบอินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล
TCP/IP เพื่อสื่อสารกัน โดยจะต้องมี IP address ในการอ้างอิงเสมอ
แต่ IP address นี้ถึงแม้จะจัดแบ่งเป็นส่วนๆ
แล้วก็ยังมีอุปสรรคในการที่ต้องจดจำ ถ้าเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น
การจดจำหมายเลข IP ดูจะเป็นเรื่องยาก และอาจสับสนจำผิดได้
แนวทางแก้ปัญหาคือการตั้งชื่อหรือตัวอักษรขึ้นมาแทนที่ IP address ซึ่งสะดวกในการจดจำมากกว่า เช่น IP address คือ 203.183.233.6
แทนที่ด้วยชื่อ dusit.ac.th ผู้ใช้งานสามารถ จดจำชื่อ dusit.ac.th ได้ง่ายกว่า การจำตัวเลข
โดเมนที่ได้รับความนิยมกันทั่วโลก
ที่ถือว่าเป็นโดเมนสากล มีดังนี้ คือ
.com ย่อมาจาก commercial
สำหรับธุรกิจ
.edu ย่อมาจาก education
สำหรับการศึกษา
.int ย่อมาจาก International
Organization สำหรับองค์กรนานาชาติ
.org ย่อมาจาก Organization
สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร
.org ย่อมาจาก Organization
สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร
การขอจดทะเบียนโดเมน
การขอจดทะเบียนโดเมนต้องเข้าไปจะทะเบียนกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ชื่อโดเมนที่ขอจดนั้นไม่สามารถซ้ำกับชื่อที่มีอยู่เดิม
เราสามารถตรวจสอบได้ว่ามีชื่อโดเมนนั้นๆ หรือยังได้จากหน่วยงานที่เราจะเข้าไปจดทะเบียน
การขอจดทะเบียนโดเมน
มี 2
วิธี ด้วยกัน คือ
1. การขอจดะเบียนให้เป็นโดเมนสากล (.com .edu .int .org .net ) ต้องขอจดทะเบียนกับ http://www.networksolution.com ซึ่งเดิม
คือ www.internic.net
2. การขอทดทะเบียนที่ลงท้ายด้วย .th (Thailand)ต้องจดทะเบียนกับ www.thnic.net
โดเมนเนมที่ลงท้าย
ด้วย .th
ประกอบด้วย
ac.th ย่อมาจาก
Academic Thailand สำหรับสถานศึกษาในประเทศไทย
.co.th ย่อมาจาก Company
Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศไทย
.go.th ย่อมาจาก Government
Thailand สำหรับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล
.net.th ย่อมาจาก Network
Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเครือข่าย
.or.th ย่อมาจาก Organization
Thailand สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร
.in.th ย่อมาจาก Individual
Thailand สำหรับของบุคคลทั่วๆ ไป
อินเทอร์เน็ตจะสนับสนุนการสื่อสารและธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ได้ดังนี้
1. ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
2. สามารถซื้อขายสินค้า
ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
3. ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท
หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตน
ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ
ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี (Freeware)
เป็นต้น
4. เทคโนโลยีและมาตรฐานที่สำคัญสำหรับเครือข่ายไร้สายการติดต่อสื่อสารและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคืออะไร
ตอบ มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย
มาตรฐาน IEEE802.11
Institute of
Electrical and Electronics Engineers (IEEE) เป็นสถาบันที่กำนหดมาตรฐานการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับเครือข่ายไร้สายขึ้น คือมาตรฐาน IEEE802.11a,
b, และ g ตามลำดับขึ้น
ซึ่งแต่ละมาตรฐานมีความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันในการสื่อสารข้อมูล
มีรายละเอียดดังนี้
• มาตรฐาน IEEE802.11a
เป็นมาตรฐานระบบเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูง
ทำงานที่ย่านความถี่ 5
GHz มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 54 Mbps ที่ความเร็วนี้สามารถทำการแพร่ภาพและข่าวสารที่ต้องการความละเอียดสูงได้
อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสามารถปรับระดับให้ช้าลงได้ เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้มากขึ้น
เช่น 54, 48, 36, 24 และ 11 เมกกะบิตเป็นต้น ในขณะที่คลื่นความถี่ 5 GHz นี้ยังไม่ได้ใช้งานอย่างแพร่หลาย
ดังนั้นปัญหาการรบกวนคลื่นความถี่จึงมีน้อย ต่างจากคลื่นความถี่ 2.4 GHz ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทำให้สัญญาณของคลื่นความถี่ 2.4 GHz ถูกรบกวนจากอุปกรณ์ประเภทอื่นที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันได้
ระยะทางการเชื่อมต่อประมาณ
300 ฟิตจากจุดกระจายสัญญาณ Access Point หากเทียบกับมาตรฐาน 802.11b
แล้ว ระยะทางจะได้น้อยกว่า 802.11b ที่คลื่นความถี่ต่ำกว่า
และทั้ง 2 มาตรฐานนี้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
ขณะที่ประเทศไทยไม่อนุญาติให้ใช้คลื่นความถี่ 5 GHz จึงไม่เห็นอุปกรณ์
WLAN มาตรฐาน 802.11a จำหน่ายในประเทศไทย
แต่ความเร็ว 54 Mbps สามารถใช้งานได้ที่มาตรฐาน 802.11b
ที่จะกล่าวถึงต่อไป
• มาตรฐาน IEEE802.11b
802.11b เป็นมาตรฐานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย
เป็นมาตรฐาน WLAN ที่ทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4 GHz (คลื่นความถี่นี้สามารถใช้งานในประเทศไทยได้)
มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 11 Mbps ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เครือข่ายไร้สายภายใต้มาตรฐานนี้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก
และที่สำคัญแต่ละผลิดภัณฑ์มีความสามารถทำงานร่วมกันได้
อุปกรณ์ของผู้ผลิตทุกยี่ห้อต้องผ่านการตรวจสอบจากสถาบัน Wi-Fi Alliance เพื่อตรวจสอบมาตรฐานของอุปกรณ์และความเข้ากันได้ของแต่ละผู้ผลิต
ปัจจุบันนี้นิยมนำอุปกรณ์ WLAN ที่มาตรฐาน 802.11b ไปใช้ในองค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษา สถานที่สาธารณะ
และกำลังแพร่เข้าสู่สถานที่พักอาศัยมากขึ้น มาตรฐานนี้มีระบบเข้ารหัสข้อมูลแบบ WEP
ที่ 128 บิต
• มาตรฐาน IEEE802.11g
มาตรฐานนี้เป็นมาตรฐานใหม่ที่ความถี่
2.4 GHz
โดยสามารถรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 36 – 54
Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.11b ซึ่ง 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ
2 Mbps ได้ (ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน)
มาตรฐานนี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้เป็นจำนวนมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่ 802.11b
ในอนาคตอันใกล้
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้มีบางผลิตภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวเข้ามาเสริมทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจาก
54 Mbps
เป็น 108 Mbps แต่ต้องทำงานร่วมกันเฉพาะอุปกรณ์ที่ผลิตจากบริษัทเดียวกันเท่านั้น
ซึ่งความสามารถนี้เกิดจากชิป (Chip) กระจายสัญญาณของตัวอุปกรณ์ที่ผู้ผลิตบางรายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งสัญญาณเป็น
2 เท่าของการรับส่งสัญญาณได้
แต่ปัญหาของการกระจายสัญญาณนี้จะมีผลทำให้อุปกรณ์ไร้สายในมาตรฐาน 802.11b มีประสิทธิภาพลดลงด้วยเช่นกัน ด้านล่างเป็นตารางมาตรฐาน IEEE802.11 ของเครือข่ายไร้สาย
5. เปรียบเทียบ Wi-Fi และระบบเซลลูลาร์ความเร็วสูงสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
อะไรคือข้อดีและข้อเสียของแต่ละอย่าง
ตอบ WI-FI
ข้อดี
WI-FI ช่วยให้การใช้งานของเครือข่ายท้องถิ่น
(LANS) มีราคาถูกลง
นอกจากนี้ยังมีบริเวณที่ไม่สามารถวางสายเคเบิลได้ เช่น
พื้นที่กลางแจ้งและอาคารประวัติศาสตร์ เราจะสามารถให้บริการ LAN แบบไร้สายได้
ผู้ผลิตสามารถสร้างอะแดปเตอร์เครือข่ายไร้สายในแล็ปท็อปได้
ส่วนใหญ่ราคาของชิปเซ็ต สำหรับ WI-FI ยังคงลดลงเรื่อยๆ
ทำให้มีตัวเลือกที่เป็นเครือข่ายประหยัดรวมอยู่ในอุปกรณ์ ต่างๆได้มากขึ้น
หลายๆแบรนด์ในการแข่งขันที่แตกต่างกันของ
AP กับตัวเชื่อมต่อเครื่องลูกข่ายสามารถประสานทำงานกันได้ดีในระดับพื้นฐานของการให้บริการ
ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายที่ “รองรับ WI-FI” ที่ออกโดย
WI-FI ALLIANCE สามารถเข้ากันได้แบบย้อนหลัง
ซึ่งแตกต่างจากโทรศัพท์มือถือ ที่อุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน WI-FI ใดๆ
สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ที่ใดๆก็ได้ในโลกนี้
การเข้ารหัสของวายฟายแบบ
WI-FI
PROTECTED ACCESS (WPA2) ถือได้ว่ามีความปลอดภัยโดยการใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง
โพรโทคอลใหม่สำหรับคุณภาพของการให้บริการที่เรียกว่า WIRELESS MULTIMEDIA
(WMM) ทำให้ WI-FI มีความเหมาะสมมากขึ้นสำหรับการใช้งานที่มี
ความละเอียดอ่อนต่อเวลาแฝง(เช่นเสียงและวิดีโอ) กลไกการประหยัดพลังงานของ WMM
ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่
ข้อเสีย
การกำหนดคลื่นความถี่และข้อจำกัดในการดำเนินงานไม่สม่ำเสมอทั่วโลก
เช่นที่ออสเตรเลียและยุโรป
ได้อนุญาตให้มีอีกสองแชนแนลเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตในสหรัฐอเมริกาสำหรับแถบความถึ่
2.4 GHZ
(แชนแนล 1 ถึง 13 เทียบกับ 1 ถึง 11 ) ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีมากขึ้นอีกหนึ่ง(1
ถึง 14)
ระบบเซลลูลาร์
ข้อดี
ช่วยลดปัญหาในการติดตั้งระบบเครือข่าย
ช่วยลดปัญหาในการวางสายระบบเครือข่าย
ไม่ต้องใช้สาย cable
ช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบ
เรียบร้อย
ข้อเสีย
มีอัตราการลดทอนสัญญาณสูง
นั่นหมายความว่า “
ส่งสัญญาณได้ระยะสั้น ”
มีสัญญาณรบกวนสูง
ต้องแชร์กันใช้ช่องสัญญาณคลื่นความถี่เดียวกัน
ยังมีหลายมาตรฐานตามผู้ผลิตแต่ละราย
ทำให้มีปัญหาในการใช้งานร่วมกัน
6. เปรียบเทียบ Web 2.0
และ Web 3.0
ตอบ Web 2.0คืออะไร
Web 2.0
คือยุดที่มีการสื่อสารทั้งสองทิศทาง ทั้งจากผู้นำเสนอ และบุคคลทั่วไป ที่สนใจ หรือ
Dynamic Web ซึ่งทำให้ผู้อ่านหรือผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้สามารถที่จะสร้างเนื้อหาหรือ
content ชนิดต่างๆ ได้ ทำให้ข้อมูลต่างๆ มีมากขึ้น
มีการแบ่งปันความรู้กันมากขึ้น โดย technology ที่เห็นได้ชัดคือ
TAG ซึ่งผู้สร้าง contentสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง
และสามารถค้นหาได้ แต่ลองจิตนาการดูว่า ยิ่งข้อมูลมากขึ้น tag ก็ถูกสร้างมากขึ้น โดย tag ที่ถูกสร้างมานั้นก็ไม่เป็นมาตรฐานแล้วแต่จะตั้งกันไปทำให้เป้าหมายของการใช้
Tag ผิดไป นี่คือแค่ 1 ในปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
โดยแนวทางของ Web 2.0
สามารถสรุปได้ดังนี้
- เว็บมีหน้าที่เป็น computing platform ที่ให้บริการเว็บแอปพลิเคชัน แก่ผู้ใช้บริการทางอินเทอร์เน็ต
- มีดาต้าเป็นองค์ประกอบสำคัญ
-
มีเน็ตเวริค์ที่เกิดจากการเข้ามามีส่วนรวมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
มีการสื่อสารระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้าง
-
มีการจัดหมวดหมู่เนื้อหาและการจัดระเบียบภายในเว็บที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
และสถาปัตยกรรมบนเว็บมีการพัฒนามากขึ้น
- Web 2.0
เป็นคำที่ใช้ในแง่การตลาด เพื่อแบ่งแยกธุรกิจบนเว็บยุคใหม่ออกจากยุคเริ่มต้น (ยุค
90)
-
มีการตอบรับอย่างตื่นตัวต่อนวัตกรรมใหม่ ในแวดวงเว็บแอปพลิเคชัน
และบริการทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับแรงผลักดันอย่างมากในช่วงกลางปี 2548
- เปลี่ยนจากเว็บไซด์แบบ static การค้นหาจาก search engines และ
การท่องอินเทอร์เน็ตจากเว็บไซด์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซด์หนึ่ง กลายเป็นเว็บไซด์แบบ dynamic
ที่มีการโต้ตอบและมีการถ่ายทอดข้อมูลระหว่างเว็บไซด์
โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำการค้นหาด้วยตนเอง
หลายคนสงสัยว่า
Web 1.0 มีลักษณะเป็นเช่นใด และเหตุใดจึงมีการกำเนิด Web 2.0 ขึ้น Web 1.0 ในทุกวันนี้ได้รับการนิยามว่า
เป็นหน้า HTML แบบหยุดนิ่ง (static) ที่แทบจะไม่ได้รับการอัพเดทข้อมูล
และส่วนมากจะถูกสร้างขึ้นจาก HTML ซึ่งแม้แต่ความสำเร็จของอินเทอร์เน็ตในยุคดอทคอม
ก็เนื่องมาจากมีการสร้างเว็บไซด์ที่มีลักษณะไม่หยุดนิ่ง (dynamic) มากขึ้น และมีระบบจัดการเนื้อหา (Content management systems) ที่ทำหน้าที่จัดการเนื้อหาจากดาต้าเบส
(ซึ่งยุคที่เว็บไซด์เริ่มมีการพัฒนาดังกล่าว อาจถูกเรียกว่า Web 1.5)
แรงผลักดันที่ทำให้ Web 2.0
ถือกำเนิดขึ้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการพัฒนาความเร็วของอินเทอร์เน็ต
ซึ่งมีผลอย่างมากต่ออัตราการใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น
อีกสาเหตุหนึ่งคือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่หลากหลายขึ้น
เช่น การค้นหาข้อมูล ทำธุรกิจ และการซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นต้น
อิทธิพลของ Web 2.0
ที่มีต่อพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
การติดต่อสื่อสารโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางเพื่อสร้างชุมชนออนไลน์ขึ้น
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ blogs และ wikis นอกจากนี้บางเว็บไซด์ได้มีการให้บริการ RSS feeds เป็นจำนวนมากภายในหน้าเว็บของตน
ในขณะที่บางเว็บไซด์ได้สร้างลิงค์ที่ลิงค์ไปยังเว็บไซด์อื่น
ๆชนิดเจาะลึกเข้าถึงข้อมูล
ความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลทางเว็บ
การติดต่อสื่อสาร รวมไปถึงการส่งข้อความต่าง ๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ที่ Web 2.0
พัฒนาขึ้น ได้ก่อให้เกิดการโยงใยทางสังคมที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในยุคก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ได้มีการใช้ Ajax ในการพัฒนาเว็บไซด์ที่สามารถทำงานคล้ายคลึงแอปพลิเคชันในเครื่องพีซี
เช่น word processing spreadsheet และ slide-show
presentation เป็นต้น Wysiwyg (What You See Is What You
Get) และ wiki เป็นตัวอย่างของเว็บไซด์ประเภทดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีเว็บไซด์ที่ช่วยเรื่องการจัดการโครงการ และการประสานงานต่าง ๆ
อีกด้วย
Web 3.0
คืออะไร
Web 3.0
คือ Semantic Web คือเทคโนโลยีหรือแนวความคิดที่จะ
เชื่อมโยงข้อมูลใน web ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันทั้งภายใน web
หรือภายในเครือข่ายของโลก ซึ่งมองไปแล้วมันก็คือ Database ของ โลกเลย แต่ก็เป็นแนวคิดที่จะทำให้หาข้อมูล ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
ซึ่งก็จะมี format ข้อมูลในการติดต่อสื่อสารกัน แต่ก็ based-on
XML เช่นพวก RDF ( Resource Definition Framework ) , OWL (
Ontology Web Language )
มาดูว่า Web 3.0
กันมีอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง
1. เขาบอกว่าเป็นยุด " Data about Data
" คือการใช้ข้อมูลอธิบายหรือบอกรายละเอียดของข้อมูล หรือ METADATA
นั่นเอง
2. มีการนำระบบ AI ( Artificial
Intelligence )
Artificial
intelligence (AI) เป็นความฉลาดเทียมที่สร้างคอมพิวเตอร์ ที่จะเอามาเป็นเครื่องมือช่วยคาดเดาพฤติกรรม
วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์ ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลนั้นมา ระบบก็จะให้ในสิ่งนั้นๆ
ที่ต้องการ
3. Semantic Web + SOA
คือ Share Data, Service ต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่แน่ว่าเรื่องการละเมิดสิขสิทธิ์จะมีเยอะขึ้นหรือเปล่า
แต่แนวคิดตรงนี้เป็นแนวคิดที่มีการนำมาใช้งานในลักษณะของpartner กันแล้ว เนื่องจากยังพอไว้ใจกันได้ แต่เรื่องของ public นี่ยังต้องคิดต่อยอดกันอีกเยอะ
4. Web 3D
ตรงนี้น่าตื่นเต้นน่าดู
แต่การนำเสนอทำอย่างไรถึงจะไม่น่าเบื่อ รวมทั้ง technology ที่นำมาใช้
แล้ว Bandwidth
5. Scalable vector graphics (SVG) น่าสนใจมากๆ ในปัจจุบันจะสร้างรูปเพื่อเอาขึ้นบน webมันมีหลากหลายชนิดเหลือเกินทั้ง
JPEG GIF PNG เป็นต้น ถ้าผมต้องการหารูปใน web นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หรือหาจาก TAG แต่ถ้าอยากหารูปจากข้อมูลของภาพเช่น
สี รูปคน รูปดอกไม้ เราต้องมาทำระบบ image processing กันเลยใช่หรือเปล่า
ปัจจุบันก็มี search engineแบบนี้เหมือนกัน
แต่ถ้ามีมาตรฐานในการสร้างรูปบน web ล่ะ
มันจะง่ายต่อการค้นหาหรือเปล่า ซึ่ง SVG ก็เป็นเทคโนโลยีของการสร้างรูป
based-on XML น่าสนใจดีไหม
6. Semantic Wiki
เมื่อข้อมูลมีมากจนบางทีไม่รู้ว่าจะค้นหาข้อมูลที่ต้องการ
ด้วย keyword
อะไร ดังนั้นถ้าใช้คำค้นหา แบบกว้างๆ แต่มันกำจัดวงแคบๆให้ได้
การค้นหาแบบข้อมูลซ้อนข้อมูล หรือใช้การค้นหาหลายทิศทาง (Vertical Search) ผสมกับความเป็นส่วนตัวเข้าช่วย (Personalize) จะสามาร
7. Metadata (data about data)
คือ
การอธิบายข้อมูลด้วยข้อมูล
โดยมันจะทำการคำนวนว่าข้อมูลที่เราใช้งานอยู่มีข้อมูลใดสัมพันธ์กันบ้างที่สามารถอธิบายข้อมูลตัวมันเองได้
เช่น เราดูข้อมูลของ Tosdn
มันก็จะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันคือ php, asp, perl หรือแม้แต่ชื่อผมเอง
และวันนี้ Web 3.0
กำลังจะมา เป็นการนำแนวคิดของ Web 2.0 มาทำให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมาก ๆ
โดยอย่างที่เรารู้กันดีว่าผู้ใช้ทั่วไปนั้นเป็นผู้สร้างเนื้อหา
ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นการเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่าง
ๆ ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมหาศาล
ทำให้จำเป็นต้องมีความสามารถในการข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาจัดการให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทำให้เว็บกลายเป็น Sematic Web กล่าวคือเว็บที่ใช้ Metadata
มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ บนเว็บ ซึ่งในตอนนี้เราจะเห็นกันทั่วไปนั่นคือ Tag
นั้นเอง โดยที่ Tag ก็คือคำสั้น ๆ หลาย ๆ คำ
ที่เป็นหัวใจของเนื้อหา เพื่อทำให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้ Tag
ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
แต่แทนที่ผู้ผลิตเนื้อหาจะใส่เอง แต่ตัว Web จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น
แล้วให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน
7. การค้นหาทางโซเชียลการค้นหาความหมายและการค้นหาบนมือถือแตกต่างจากการค้นหาข้อมูลบนเว็บโดยใช้เครื่องมือค้นหาแบบเดิมอย่างไร
ตอบ เครื่องมือค้นหาเว็บเป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาข้อมูลในเวิลด์ไวด์เว็บ
เครื่องมือค้นหาของ Google
จะรวบรวมข้อมูลเว็บอย่างต่อเนื่องและจัดทำดัชนีเนื้อหาของแต่ละหน้าการคำนวณความนิยมและจัดเก็บหน้าเว็บเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อคำขอของผู้ใช้เพื่อดูหน้าได้อย่างรวดเร็ว
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณครึ่งวินาที
การค้นหาบนมือถือเป็นสาขาที่กำลังพัฒนาของบริการดึงข้อมูลซึ่งเน้นการรวมกันของแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์มือถือหรือใช้เพื่อบอกข้อมูลเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างและอุปกรณ์เคลื่อนที่อื่น
ๆ
คุณลักษณะการค้นหา Predictive ใช้อัลกอริทึมการค้นหาที่คาดการณ์ตามการค้นหาที่ได้รับความนิยมเพื่อคาดเดาคำค้นหาของผู้ใช้เมื่อพิมพ์โดยให้รายการแบบเลื่อนลงของคำแนะนำที่เปลี่ยนแปลงเมื่อผู้ใช้ป้อนอักขระมากขึ้นในการป้อนข้อมูลการค้นหา
การค้นหาทางโซเชียลคือความพยายามที่จะให้ผลการค้นหาที่น้อยลงมีความเกี่ยวข้องและน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยอิงจากเครือข่ายการติดต่อทางสังคมของบุคคล
การค้นหาความหมายคือเครื่องมือค้นหาที่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์และพฤติกรรมซึ่งสร้างแบ่งปันและเชื่อมต่อเนื้อหาผ่านการค้นหาและการวิเคราะห์โดยอิงจากความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำมากกว่าคำหรือตัวเลข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น